ศาลแขวงกัมพูชาพิพากษาจำคุกอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคฝ่ายค้าน เป็นเวลา 2 ปี โทษฐานปลุกระดมชุมชนต่อต้านพวกผู้นำรัฐบาล ในประเด็นความขัดแย้งด้านชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยรอบแรก

ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลแขวงของกัมพูชามีคำพิพากษาที่หลายคนจับตามอง เมื่ออดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคฝ่ายค้านอย่าง Nation Power Party หรือ NPP ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปีเต็ม ข้อหาหลักคือการปลุกระดมชุมชนให้ต่อต้านผู้นำรัฐบาล โดยโยงเข้ากับความขัดแย้งบริเวณชายแดนกัมพูชา–ไทยที่ปะทุขึ้นรอบแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ชื่อของผู้ถูกตัดสินคดีนี้คือ นาย Soeng Heang วัย 46 ปี อดีตประธานคณะกรรมการบริหารเขตพนมพรึกของพรรค NPP นอกจากโทษจำคุกแล้ว ศาลยังสั่งปรับเงินอีก 2 ล้านเรียล หรือคิดเป็นเงินไทยราว 15,000 บาท โทษฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดการกระทำผิดทางอาญาอุกฉกรรจ์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 494 และ 495 ซึ่งถือว่าเป็นบทลงโทษที่ไม่เบาเลย

คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากโลกออนไลน์โดยตรง นาย Heang ถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม หลังจากโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่เข้าข่ายดูหมิ่นผู้นำประเทศ เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งติดอาวุธตามแนวชายแดนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่เขาโพสต์นั้น “ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลหยิบมาใช้ประกอบคำตัดสิน

พันโท เฮ็ม ซาเรือน รองผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ของกัมพูชา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังเหตุปะทะในเดือนกรกฎาคม นาย Heang ยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องบนเฟซบุ๊ก วิจารณ์ผู้นำรัฐบาลอย่างหนัก โดยกล่าวหาว่าผู้นำขาดความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจด้านชายแดน รวมถึงกรณีที่ทหารกัมพูชา 18 นายยังคงถูกฝ่ายไทยควบคุมตัวอยู่

สถานการณ์ยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อเกิดเหตุที่กองกำลังไทยรุกเข้าหาชาวบ้านในพื้นที่โจกเจย จนนำไปสู่การปะทะกับชาวบ้านและทหารไทย นาย Heang ออกมาโพสต์โจมตีรัฐบาลอีกครั้ง โดยอ้างว่าผู้นำประเทศเพิกเฉยต่อประชาชนของตนเอง ปล่อยให้ชาวบ้านต้องออกมาปกป้องดินแดนกันอย่างโดดเดี่ยว

ท้ายที่สุด ถ้อยแถลงและโพสต์เหล่านี้เองที่กลายเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ระบุว่าการสื่อสารของเขาเกี่ยวกับการรุกล้ำชายแดนของไทย ส่งผลให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้นำประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่นำไปสู่การจับกุมและการตัดสินจำคุกในครั้งนี้

เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่คดีของนักการเมืองฝ่ายค้านคนหนึ่ง แต่สะท้อนให้เห็นชัดว่า ประเด็นชายแดนและการแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียในกัมพูชายังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และสามารถนำไปสู่ผลทางกฎหมายที่รุนแรงได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านยังเปราะบางแบบนี้

ที่มา : ขแมร์ไทมส์