เดือดร้อนถ้วนหน้า! คนไข้บัตรทองอดได้ยา หลัง รพ.มงกุฎวัฒนะงดให้บริการ 15 ก.ย. เป็นต้นไป
โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเผชิญวิกฤติการเงิน พล.ต. เหรียญทอง แน่นหนา วอน สปสช. ชำระหนี้สะสมภายใน 10 กันยายน พร้อมขีดเส้นตายงดจ่ายยาผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง
วันที่ 5 กันยายน 2568 พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้ออกประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นวิกฤติร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ โดยระบุว่า โรงพยาบาลกำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง เนื่องจากการที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ค้างชำระหนี้สะสมมาเป็นเวลาหลายปี
หนี้สินดังกล่าวถูกกล่าวอ้างว่ามีมูลค่าสูงจนส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระแสเงินสด ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถชำระหนี้ค่าจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์กับบริษัทยาได้ตามกำหนดเวลา พล.ต. เหรียญทองจึงประกาศชัดเจนว่า หาก สปสช. ไม่เร่งดำเนินการชำระหนี้ภายใน วันที่ 10 กันยายน 2568 โรงพยาบาลจะจำเป็นต้องงดจ่ายยาแก่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
ผู้ป่วยประกันสังคมไม่กระทบ แต่สิทธิบัตรทองเสี่ยงสะดุด
พล.ต. เหรียญทองย้ำว่า การตัดสินใจดังกล่าวจะไม่กระทบต่อผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคม ซึ่งยังคงได้รับบริการและยาตามปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทอง (หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จะได้รับผลกระทบโดยตรงหากหนี้สะสมไม่ได้รับการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรงพยาบาลยืนยันว่าจะยังคงให้การรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าสปสช.จะหยุดจ่ายค่ารักษาพยาบาล
การเรียกร้องให้ผู้ป่วยช่วยทวงถามสิทธิ์
นอกจากการกดดันให้ สปสช. ชำระหนี้โดยเร็ว พล.ต. เหรียญทองยังได้วอนให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะช่วยกัน “ทวงถามสิทธิ์” จาก สปสช. เพื่อสร้างแรงกดดันและทำให้โรงพยาบาลได้รับเงินเร็วขึ้น เขาย้ำว่า การจ่ายยาขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดหายาของโรงพยาบาล และการชำระหนี้จาก สปสช. คือปัจจัยสำคัญที่สุด
คำตอบต่อข้อสงสัย: ทำไมยังมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น
แม้จะมีการยกเลิกการรับส่งต่อผู้ป่วยจาก 35 คลินิก คิดเป็นจำนวนผู้ใช้สิทธิบัตรทองกว่า 200,000 คน แต่โรงพยาบาลกลับพบว่าจำนวนผู้ใช้บริการไม่ได้ลดลง กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พล.ต. เหรียญทองได้อธิบายเหตุผลหลัก ๆ 4 ประการดังนี้
1. ค่าบริการไม่แพง สวนทางเศรษฐกิจตกต่ำ
โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่คิดค่าบริการไม่สูงเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนจำนวนมากจึงหันมาเลือกใช้บริการที่ “คุ้มค่า” โดยเฉพาะผู้ที่จ่ายเงินเองหรือมีประกันสุขภาพส่วนตัว ทำให้จำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น
2. ความเข้มงวดด้านระเบียบและภาพลักษณ์
แม้โรงพยาบาลจะตกเป็นข่าวการเมืองและมีการโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่กลับสร้างภาพลักษณ์ความเข้มงวดด้านระเบียบ เช่น การห้ามสูบบุหรี่ ห้ามใช้สารเสพติด และไม่ยอมอ่อนข้อกับพฤติกรรมอันธพาลในพื้นที่โรงพยาบาล สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้บริการที่เป็นสุภาพชนมองว่าโรงพยาบาลมีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ
3. ขีดความสามารถทางการแพทย์ระดับสูง
โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และโรคทางสมอง โดยมีเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะทางขั้นสูง ซึ่งดึงดูดผู้ป่วยจำนวนมากให้เลือกใช้บริการ
4. “มงกุฎวัฒนะโมเดล” สิทธิบัตรทองแพลตตินั่ม
แม้จะยกเลิกการรับส่งต่อจากคลินิก แต่โรงพยาบาลยังคงเปิดรับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจากทุกจังหวัดโดยตรง เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเองในอัตราที่ถูกมาก หากต้องนอนโรงพยาบาล สิทธิประโยชน์จะครอบคลุมโดย สปสช. ภายใต้โครงการ “บัตรทองแพลตตินั่ม” ซึ่งได้รับความนิยมเพราะช่วยลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและใบส่งตัว
วิสัยทัศน์และพันธมิตรทางการแพทย์
พล.ต. เหรียญทองยังกล่าวถึงความร่วมมือทางการแพทย์กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศจีน ที่ช่วยสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงให้แก่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เขายกตัวอย่างว่าเหมือนกับการที่จีนสนับสนุนยุทโธปกรณ์ทางทหารให้กับไทย พร้อมเล่าว่าตนเองได้รับการตั้งชื่อภาษาจีนว่า “เฉินจิ้นผาย (陈金牌)” ซึ่งสื่อถึงความสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์
ความกังวลต่ออนาคตและเสียงสะท้อนสังคม
ประกาศครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนต่อผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพาการรักษาต่อเนื่อง หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า หาก สปสช. ไม่เร่งดำเนินการชำระหนี้ตามกำหนดเส้นตาย จะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนทั้งในเชิงสิทธิของผู้ป่วยและภาพลักษณ์ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ด้านผู้ป่วยบางส่วนออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย หลายคนเข้าใจสถานการณ์ของโรงพยาบาล แต่บางคนรู้สึกกังวลว่าจะต้องหาที่รักษาใหม่หากโรงพยาบาลงดจ่ายยา ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุน พล.ต. เหรียญทอง มองว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็น “การต่อสู้เพื่อความยุติธรรม” และสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ สปสช. ต้องเร่งแก้ไข
สรุป
กรณีของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทย เมื่อโรงพยาบาลเอกชนที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องจากการค้างชำระหนี้ของรัฐ หาก สปสช. ไม่เร่งหาทางออกโดยเร็ว ปัญหานี้อาจบานปลายจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบสาธารณสุขไทยในภาพรวม
ผู้ป่วยและสังคมกำลังจับตาว่า ภายในเส้นตาย 10 กันยายน 2568 สปสช. จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ และตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่มารับบริการที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจะยังคงได้รับการจ่ายยาและการรักษาตามปกติหรือไม่
























