สภาฯเดือด! โหวตนายกฯสะดุด เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย ค้านเลื่อนวาระ
สภาฯวุ่น! ยังโหวตนายกฯคนที่ 32 ไม่ได้ พรรคเพื่อไทยคัดค้านข้อเสนอภูมิใจไทย ปมเลื่อนระเบียบวาระสร้างความขัดแย้ง
วันที่ 5 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา เกิดบรรยากาศการเมืองร้อนแรง เมื่อมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้การดำเนินการของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าสู่การพิจารณาเรื่องสำคัญที่สุด คือ การให้ความเห็นชอบบุคคลผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เนื่องจากมีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างฝ่าย พรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับข้อเสนอการเลื่อนระเบียบวาระการโหวตนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้การประชุมเต็มไปด้วยความตึงเครียด และยังไม่สามารถเดินหน้าไปสู่การลงมติได้
จุดเริ่มต้นความวุ่นวาย : ข้อเสนอเลื่อนระเบียบวาระ
ระหว่างที่ประธานสภาฯ นำเข้าสู่ระเบียบวาระการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอระเบียบวาระเลือกนายกฯดังกล่าวออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องสำคัญเช่นนี้ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนมีเวลาเพียงพอในการพิจารณาและตัดสินใจ
แต่ในขณะเดียวกัน นายวัชรพล ขาวข่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นแสดงความเห็น ไม่เห็นด้วยกับระเบียบวาระการเลือกนายกฯ ให้เลื่อนออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องสำคัญเช่นนี้ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนมีเวลาเพียงพอในการพิจารณาและตัดสินใจ
โดยย้ำว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นวาระสำคัญที่ควรเข้าสู่การพิจารณาโดยตรง ควรมีการเลื่อน
บทบาทของ ส.ส.เพื่อไทย – ย้ำต้องอภิปรายก่อน
ความขัดแย้งยิ่งร้อนแรงขึ้น เมื่อ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีและ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายเพิ่มเติม โดยเสนอว่า หากจะมีการเลื่อนระเบียบวาระจริง จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวางก่อน ไม่ใช่เพียงการโหวตทันที
ในระหว่างการอภิปราย นายจุลพันธ์ได้หลุดพูดคำว่า “ทางฝ่ายค้าน” ทั้งที่ปัจจุบันพรรคเพื่อไทยอยู่ในฝั่งรัฐบาล สร้างเสียงฮือฮาในห้องประชุม แต่เจ้าตัวก็รีบแก้ไขและกล่าวต่อว่า จุดยืนที่สำคัญคือ ต้องให้สมาชิกได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลื่อนญัตติก่อนเข้าสู่การลงมติ
ข้อเสนอนี้ทำให้มี ส.ส.หลายคนจากพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นมาสนับสนุนความเห็นของนายจุลพันธ์ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของพรรคที่จะไม่เร่งรัดเข้าสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในทันที
ฝั่งภูมิใจไทย – ผลักดันให้โหวตเร็วที่สุด
ตรงกันข้ามกับจุดยืนของเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย กลับยืนยันหนักแน่นว่า ควรเลื่อนญัตติอื่น ๆ ออกไป และเข้าสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญภาวะสุญญากาศทางการเมือง การไม่มีผู้นำฝ่ายบริหารที่ชัดเจนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน
ส.ส.หลายคนของภูมิใจไทยลุกขึ้นสนับสนุนท่าทีนี้ พร้อมย้ำว่า การยืดเยื้อจะยิ่งสร้างปัญหาต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาและเสถียรภาพของประเทศ
บรรยากาศการประชุม : ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น
ภายในห้องประชุมรัฐสภา บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ส.ส.จากทั้งสองพรรคผลัดกันลุกขึ้นอภิปราย สนับสนุนหรือคัดค้านข้อเสนอที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเสียงโต้เถียงกันเป็นระยะ
ประธานสภาฯ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา พยายามควบคุมสถานการณ์ โดยเรียกให้สมาชิกโหวตว่าจะเห็นด้วยกับการเลื่อนระเบียบวาระหรือไม่ แต่กระนั้น การถกเถียงยังคงดำเนินต่อเนื่อง และไม่สามารถหาข้อยุติได้ในเวลาอันสั้น
ผลสะเทือนต่อการเมืองไทย
ความขัดแย้งในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาภายในห้องประชุม แต่ยังสะท้อนถึงความแตกแยกทางการเมืองในวงกว้าง
1. ด้านเสถียรภาพทางการเมือง
การโต้เถียงกันอย่างไม่สามารถหาข้อสรุป อาจทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของสภาผู้แทนราษฎร
ประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะสุญญากาศการเมืองต่อไป หากไม่สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้
2. ด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น
นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างใกล้ชิด
ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจส่งผลต่อค่าเงินบาท ตลาดหุ้น และบรรยากาศการลงทุน
3. ด้านสังคมและประชาชน
ประชาชนจำนวนมากเรียกร้องให้สภาเร่งหาทางออก เพื่อให้มีผู้นำบริหารประเทศโดยเร็ว
ความขัดแย้งระหว่างพรรคใหญ่ ๆ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมและสื่อออนไลน์
นักวิชาการหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยชี้ว่า การที่พรรคการเมืองหลักอย่าง เพื่อไทยและภูมิใจไทย มีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เป็นเรื่องปกติในทางการเมือง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การไม่สามารถหาทางออกที่เป็นเอกภาพได้
บางฝ่ายมองว่า การถกเถียงครั้งนี้สะท้อนถึง “เกมการเมือง” ที่แต่ละพรรคพยายามรักษาผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่า ความล่าช้าอาจเป็นการวางกลยุทธ์เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม
สรุปสถานการณ์
เหตุการณ์ในรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าต้องอภิปรายและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเข้าสู่การโหวต ขณะที่พรรคภูมิใจไทยกลับต้องการเร่งรัดเข้าสู่การโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 โดยเร็วที่สุด
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ การประชุมเต็มไปด้วยความโกลาหล และยังไม่สามารถเดินหน้าสู่การลงมติได้ สถานการณ์นี้ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ในการประชุมครั้งต่อไป สภาผู้แทนราษฎรจะสามารถหาข้อยุติ และนำพาประเทศไปสู่การมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้หรือไม่














