ผู้ป่วยวัดพระบาทน้ำพุ เผยรับยาตามสิทธิ์เอง หลวงพ่ออลงกตไม่จ่าย
วัดพระบาทน้ำพุระดมทำความสะอาด หลังอาคารศูนย์แห่งความหวังทรุดโทรม ผู้ป่วย HIV เผยรับยาต้านตามสิทธิ์ ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่ออลงกต
วันที่ 18 สิงหาคม 2568 ที่ อาคารศูนย์แห่งความหวัง อาคารเมตตาธรรม ภายใน วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ได้มีการระดมเจ้าหน้าที่เพื่อทำความสะอาด หลังพบว่าสภาพอาคารและสิ่งของภายในทรุดโทรม รกร้าง ข้าวของและอุปกรณ์การดูแลผู้ป่วยเสียหายและตกอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย
เจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมระดมทำความสะอาดระบุว่า ทางวัดได้ตั้งเป้าหมาย หนึ่งสัปดาห์จะทำความสะอาดเสร็จสมบูรณ์ แต่ยังไม่แน่ชัดว่า หลวงพ่ออลงกต จะใช้พื้นที่ดังกล่าวกลับมาเป็น สถานที่ออกกำลังกายและกิจกรรมเพื่อผู้ป่วย เหมือนเดิมหรือไม่
การจัดเก็บและเคลื่อนย้ายข้าวของภายในวัด
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ทางวัดได้นำ รถบรรทุก 6 ล้อ จำนวน 2 คัน มาขนสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ในสภาพเก่าหรือไม่สามารถใช้งานได้ออกจากวัด ซึ่งคาดว่าน่าจะนำไปทำลายตามมาตรการของวัด โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและคัดแยกสิ่งของอย่างเป็นระบบ การดำเนินการครั้งนี้ เป็นการตอบสนองต่อปัญหาที่อาคารศูนย์แห่งความหวังถูก ทิ้งร้างเป็นเวลานาน เนื่องจากไม่มีผู้ดูแลประจำ และสภาพอาคารและอุปกรณ์ต่าง ๆ เสื่อมสภาพตามกาลเวลา
สถานการณ์ผู้ป่วย HIV ภายในวัด ปัจจุบัน วัดพระบาทน้ำพุยังคงเป็นที่พำนักของ ผู้ได้รับผลกระทบจากเชื้อ HIV จำนวน 215 คน โดยผู้ป่วยบางรายให้ข้อมูลว่า ตนติดเชื้อมาจากประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ขณะนั้นเดินทางไปทำงานเป็นกุ๊ก และกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน แต่ต้องยกเลิกกะทันหัน
ต่อมาผู้ป่วยได้เข้ามาอยู่ที่วัดพระบาทน้ำพุในปี 2560 และเริ่มรับ ยาต้านไวรัส HIV (ART) ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่วัด โดยยาต้านดังกล่าวเป็นยาที่ ผู้ป่วยต้องไปรับเองที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ เช่น ผู้ป่วยจากเชียงใหม่ก็สามารถย้ายสิทธิ์ไปรับยาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งจะรับยาประมาณ ทุก 4 เดือน
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้ จะมีพยาบาลของโรงพยาบาลไปส่งยาให้ถึงที่ โดยยาต้านที่ได้รับเป็นยานำเข้าจากอินเดีย ซึ่งเป็นมาตรฐานการจ่ายยาต้านในหลายประเทศทั่วโลก
หลวงพ่ออลงกตกับบทบาทการดูแลสถานที่
ผู้ป่วยยืนยันว่า หลวงพ่ออลงกตไม่ได้จ่ายยาต้านเอง ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ โดยบทบาทของหลวงพ่ออลงกตมุ่งเน้นที่ การดูแลสถานที่และให้การสนับสนุนด้านอื่น ๆ เช่น การจัดการสถานที่และพิธีกรรมเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต
ในส่วนของการดูแลผู้ป่วยหลวงพ่อจะเน้นที่ สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในวัดได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับความดูแลอย่างเต็มที่แม้ยาต้าน HIV จะต้องรับจากโรงพยาบาล
ผลกระทบต่อผู้ป่วยติดเตียง
มีรายงานว่าผู้ป่วยติดเตียงภายในวัดเหลือไม่ถึง 10 คน และบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับ ผลกระทบจากสภาพอาคารและสิ่งแวดล้อมที่ทรุดโทรม การระดมทำความสะอาดและเคลียร์พื้นที่ครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ ผู้ป่วยติดเตียงได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้วางแผนการทำความสะอาดอย่างละเอียด ทั้งการเก็บข้าวของเสียหาย การกำจัดสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว และทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมของผู้ป่วยจะสะอาดและเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
การยืนยันข้อมูลจากผู้ป่วย
ผู้ป่วยหลายรายได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับยาต้าน HIV ว่า:
การรับยาทุกครั้ง ผู้ป่วยไปรับเองที่โรงพยาบาล ตามสิทธิ์
หากไม่สามารถเดินทางได้ มีเจ้าหน้าที่พยาบาลไปส่งยาให้ถึงที่
ยาต้านที่ได้รับเป็นยามาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก และไม่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินจากวัดหรือหลวงพ่ออลงกต
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ชัดว่า ข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่เป็นความจริง และผู้ป่วยได้รับการดูแลตามระบบสาธารณสุข
การฟื้นฟูอาคารศูนย์แห่งความหวัง
เจ้าหน้าที่วัดได้ตั้งเป้าหมายในการฟื้นฟูอาคารศูนย์แห่งความหวังเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ดังเดิม โดยเน้นไปที่:
1. การทำความสะอาดพื้นที่ภายในอาคารและรอบ ๆ
2. การคัดแยกข้าวของเครื่องใช้ที่เสียหายหรือหมดอายุการใช้งาน
3. การจัดเก็บและเคลื่อนย้ายสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากอาคาร
4. การเตรียมความพร้อมพื้นที่เพื่อรองรับผู้ป่วยและกิจกรรมต่าง ๆ
กระบวนการฟื้นฟูนี้จะช่วยให้ วัดพระบาทน้ำพุสามารถกลับมาเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับผู้ป่วย HIV รวมถึงบุคคลทั่วไปที่เข้ามาใช้บริการ
บทสรุป
เหตุการณ์การระดมทำความสะอาดอาคารศูนย์แห่งความหวังที่ วัดพระบาทน้ำพุ เป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการพื้นที่สาธารณะและการดูแลผู้ป่วย HIV ให้ได้รับสิทธิ์การรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยยืนยันว่า ยาต้าน HIV ได้รับตามสิทธิ์ที่โรงพยาบาล และหลวงพ่ออลงกตมีบทบาทในด้านการจัดการสถานที่และพิธีกรรม ไม่เกี่ยวข้องกับการจ่ายยาต้านโดยตรง
การดำเนินงานครั้งนี้ถือเป็น มาตรการป้องกันและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ป่วย พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องการดูแลสุขภาพและสิทธิ์การรักษาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย








