สตง. คว้าอันดับ 1 โปร่งใส องค์กรอิสระ ปี 68 แจงชัดทุกประเด็น
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คว้าอันดับ 1 ประเมินคุณธรรม–ความโปร่งใส (ITA) ปี 2568 ด้วยคะแนน 94.64 คะแนน
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ได้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกสังคมออนไลน์ หลังจากมีการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือ Integrity and Transparency Assessment (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568 ซึ่งพบว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มองค์กรอิสระ ด้วยคะแนนรวม 94.64 คะแนน
แม้จะเป็นผลการประเมินที่น่าภาคภูมิใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชน เนื่องจาก สตง. เป็นองค์กรที่มีหน้าที่หลักในการตรวจสอบงบประมาณและความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ จึงยิ่งทำให้การที่หน่วยงานนี้ได้รับคะแนนสูงสุด กลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ
วัตถุประสงค์ของการประเมิน ITA
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ออกเอกสารชี้แจงต่อสาธารณะ โดยเน้นว่า การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ภาครัฐใช้ในการ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตเชิงระบบ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือประเมินผลเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น กลไกเชิงป้องกัน ควบคู่ไปกับการปราบปรามการทุจริตและการเสริมสร้างค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตในสังคม
กล่าวคือ หากหน่วยงานภาครัฐมีการจัดการอย่างโปร่งใส มีระบบที่ชัดเจน และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนได้อย่างเป็นระบบ ก็จะช่วยลดโอกาสในการเกิดการทุจริตได้ในระยะยาว
ระเบียบวิธีการประเมิน
การประเมิน ITA ของหน่วยงานภาครัฐถูกออกแบบให้มีความ รอบด้านและหลากหลายมิติ โดยอาศัยระเบียบวิธีทางสถิติและทางวิชาการ เพื่อให้ผลการประเมินสะท้อน สุขภาวะด้านคุณธรรมและความโปร่งใส ขององค์กรได้อย่างแท้จริง
สำหรับการประเมินในปี 2568 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าร่วมกระบวนการเก็บข้อมูลทั้งหมด 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Integrity and Transparency – IT)
มีตัวชี้วัด 5 ด้าน ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่, การใช้งบประมาณ, การใช้อำนาจ, การใช้ทรัพย์สินราชการ และการแก้ไขปัญหาทุจริต
รวมเป็นแบบสอบถาม 15 ข้อ
ผู้ตอบคือบุคลากรของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
กำหนดจำนวนขั้นต่ำ 400 ราย แต่มีผู้เข้าตอบจริงถึง 693 ราย
2. การรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Integrity and Transparency – EIT)
มีตัวชี้วัด 3 ด้าน ได้แก่ คุณภาพการดำเนินงาน, ประสิทธิภาพการสื่อสาร และการปรับปรุงระบบการทำงาน
รวมเป็นแบบสอบถาม 9 ข้อ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย
2.1 ส่วนที่ 1 : ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก เช่น หน่วยรับตรวจ, สื่อมวลชน, คู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ฯลฯ เข้าตอบแบบสอบถามผ่านเว็บไซต์ของสำนักงาน จำนวนผู้เข้าตอบทั้งหมด 501 ราย (เกินเกณฑ์ขั้นต่ำ 400 ราย)
2.2 ส่วนที่ 2 : จัดเก็บข้อมูลโดยสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้ประเมินอิสระ จำนวนผู้ตอบไม่น้อยกว่า 40 ราย แต่มีการเก็บจริงรวม 88 ราย แบ่งเป็น 60 รายจากการประชุมกับหน่วยรับตรวจ และอีก 28 รายจากกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติม
3. การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Transparency – OIT)
มีตัวชี้วัด 2 ด้าน ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูล และการป้องกันการทุจริต
รวมเป็นแบบสอบถาม 28 ข้อ
ใช้การยืนยันหลักฐานจริง โดยต้องระบุ URL ที่เผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และส่งเข้าในระบบ ITAS
ผลการประเมิน
จากกระบวนการทั้งหมด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้คะแนนรวม 94.64 คะแนน ซึ่งจัดเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มองค์กรอิสระ
ส่วนใหญ่ของตัวชี้วัดมีคะแนนสูงเกิน 90 คะแนน
มีเพียงตัวชี้วัดเดียวที่ต่ำกว่า 85 คะแนน คือ การปรับปรุงการทำงาน (ซึ่งอยู่ในแบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก – EIT) โดยได้เพียง 81.78 คะแนน
สตง. ยอมรับว่าประเด็นนี้ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาต่อไป เพื่อให้การทำงานขององค์กรตอบสนองต่อความต้องการและข้อเสนอแนะจากภายนอกได้ดียิ่งขึ้น
กระแสสังคมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์
แม้คะแนนที่ออกมาจะถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก แต่กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์และในวงการวิชาการ เนื่องจาก บทบาทหลักของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินคือการตรวจสอบความโปร่งใส ของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ดังนั้นการที่หน่วยงานตรวจสอบเองได้รับการประเมินสูงสุด จึงถูกตั้งคำถามในเชิงสัญลักษณ์ว่า
การประเมินมีความเป็นกลางจริงหรือไม่?
เป็นการประเมินเชิงรูปแบบ (Formality) หรือสะท้อนการปฏิบัติจริง?
กระบวนการที่ สตง. เข้าร่วม แตกต่างจากหน่วยงานอื่นหรือไม่?
บางส่วนของสังคมมองว่า การที่องค์กรตรวจสอบได้รับคะแนนสูงสุด อาจเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นแบบอย่างแก่หน่วยงานอื่น ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มองว่า การประเมินต้องมีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาต่อสาธารณะ
มุมมองเชิงวิเคราะห์
การที่ สตง. ได้คะแนนสูงสุดในการประเมิน ITA สามารถตีความได้หลายมิติ
1. มิติด้านบวก
แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่มีภารกิจตรวจสอบ ได้ให้ความสำคัญกับการทำงานอย่างโปร่งใสของตนเอง
กระบวนการประเมินที่อาศัยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอก สะท้อนว่ามีการเปิดรับมุมมองที่รอบด้าน
ผลคะแนนที่สูงช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในองค์กร
2. มิติด้านความท้าทาย
คะแนนที่สูงอาจทำให้เกิดความคาดหวังจากสังคมว่า สตง. ต้องแสดงบทบาทอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้นในการตรวจสอบหน่วยงานอื่น
ประเด็นตัวชี้วัดการปรับปรุงงานที่ได้คะแนนต่ำ เป็นสัญญาณว่าองค์กรยังต้องฟังเสียงจากผู้รับบริการและภาคส่วนภายนอกมากขึ้น
3. มิติด้านภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ
การประเมินต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้จริง มิฉะนั้นอาจถูกตั้งข้อกังขาว่าเป็นเพียง “การประเมินเชิงสัญลักษณ์”
หาก สตง. สามารถนำผลการประเมินไปต่อยอดและปรับปรุงจริง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว
แม้จะได้คะแนนสูงสุด แต่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังประกาศว่า จะนำผลการประเมินมาพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะด้านการปรับปรุงระบบการทำงาน ซึ่งมีคะแนนต่ำกว่ามาตรฐานเป้าหมาย
แนวทางที่อาจนำมาใช้ เช่น
การสร้างช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะจากประชาชนและผู้รับบริการโดยตรง
การพัฒนาระบบสื่อสารออนไลน์ที่มีความรวดเร็ว โปร่งใส และเข้าถึงง่าย
การทบทวนกระบวนการตรวจสอบภายในให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
สรุป
การที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้คะแนน 94.64 คะแนน และครองอันดับ 1 ในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ประจำปี 2568 ของกลุ่มองค์กรอิสระ ถือเป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงความพยายามขององค์กรในการรักษามาตรฐานความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า สังคมยังคาดหวังสูงต่อองค์กรตรวจสอบ และต้องการเห็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์มากกว่าคะแนนประเมิน
ดังนั้น ความท้าทายของ สตง. จึงไม่ใช่เพียงการรักษาคะแนน แต่คือ การแปลงผลการประเมินไปสู่การปฏิบัติจริง ให้เห็นชัดเจน และสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนในระยะยาว ว่าองค์กรแห่งนี้สมกับการเป็น “ด่านหน้าของการตรวจสอบงบประมาณและการป้องกันการทุจริตของประเทศ”























