ส้มเช้งเดือด! หมดศรัทธา แฉตลกดังพัวพันเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ
วงการบันเทิงสะเทือน เมื่อ “ส้มเช้ง สามช่า” ศิลปินตลกหญิงชื่อดัง ออกมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำให้เธอถึงขั้น หมดศรัทธาต่อวัดพระบาทน้ำพุ สถานที่ที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย แต่กลับพบเหตุการณ์และเรื่องราวที่ทำให้เกิดคำถามมากมายถึงความโปร่งใสของการทำงานและการจัดการเงินบริจาค
จุดเริ่มต้น : ความศรัทธาที่เคยมี
ส้มเช้งเล่าย้อนถึงครั้งแรกที่เธอเดินทางไปทำบุญที่วัดพระบาทน้ำพุว่าเต็มไปด้วยความประทับใจ พระสงฆ์ออกมาต้อนรับ พูดคุย และให้พรอย่างอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกอิ่มบุญและตั้งใจว่าจะกลับไปทำบุญซ้ำอีกในอนาคต
ความรู้สึกในตอนนั้นของเธอไม่ต่างจากชาวไทยอีกจำนวนมากที่เคยได้ยินชื่อเสียงของวัดแห่งนี้ในฐานะศูนย์กลางการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และผู้ป่วยอนาถาที่ต้องการที่พึ่งพิง วัดพระบาทน้ำพุจึงกลายเป็นเสมือน “สัญลักษณ์ของการให้” และเป็นที่รวมของแรงศรัทธาจากผู้คนทั่วประเทศ
จากความอิ่มบุญ สู่คำถามในใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส้มเช้งเริ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
ครั้งหนึ่ง เธอตัดสินใจนำสิ่งของเครื่องใช้ไปถวายแทนการถวายเงินสดตามปกติ แต่กลับพบว่า ไม่มีพระออกมาต้อนรับเหมือนเดิม บรรยากาศที่เคยอุ่นกลับกลายเป็นความเย็นชา ไม่มีคำพูดขอบคุณ ไม่มีความใส่ใจอย่างที่คาดหวัง
เหตุการณ์นี้ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่คือวัดจริง ๆ หรือกำลังทำงานในลักษณะเหมือนบริษัทเอกชนกันแน่?”
เบื้องหลังการแสดงเพื่อการกุศล : โปร่งใสหรือไม่?
ส้มเช้งยังเปิดเผยอีกว่า เธอสังเกตเห็นศิลปินตลกชื่อดังคนหนึ่ง มักจะไปยืนร้องเพลงตามสถานที่ต่าง ๆ โดยมี “กล่องรับบริจาค” วางอยู่ข้างหน้า กิจกรรมลักษณะนี้ดูเหมือนจะเป็นการทำบุญเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย แต่กลับมีเพื่อนในวงการสะกิดเตือนเธอว่า
“อย่าไปยุ่งเลย เพราะเขาไม่โปร่งใส”
สิ่งที่ทำให้ส้มเช้งตกใจยิ่งกว่าคือการได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับระบบ “แบ่ง 70/30” นั่นคือ เงินบริจาค 70% จะถูกส่งเข้าวัด ขณะที่อีก 30% กลายเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ทำกิจกรรมหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่แค่แนวคิดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอสับสนว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นคือการทำบุญจริง ๆ หรือกำลังกลายเป็นอาชีพที่แฝงด้วยผลประโยชน์?”
ประสบการณ์ที่ทำให้ผิดหวัง
ส้มเช้งยังเล่าถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกหมดศรัทธาอย่างสิ้นเชิง วันหนึ่งเธอได้นำ นมโปรตีนหลายลัง ไปถวายให้ผู้ป่วยที่วัด ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้ที่ขาดสารอาหาร แต่สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่รอยยิ้ม หรือแม้แต่คำขอบคุณ
บรรยากาศที่เธอพบคือ โต๊ะทำงานเรียงราย มีเลขาฯ และเจ้าหน้าที่ประจำอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับสำนักงานบริษัท มากกว่าจะเป็นพื้นที่ทางศาสนาที่ควรอบอุ่นและเต็มไปด้วยเมตตา
“เรารู้สึกเย็นชา เหมือนไม่ได้รับการต้อนรับเลย” ส้มเช้งเล่าอย่างผิดหวัง
ของบริจาคที่ถูกทิ้งและขายต่อ?
เรื่องราวไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เพราะเพื่อนของส้มเช้งเองยังเคยพบเหตุการณ์ที่น่าตกใจ นั่นคือ ของบริจาคบางอย่างถูกนำไปทิ้ง แทนที่จะถูกส่งต่อให้ผู้ป่วย หรือบางกรณีแม้กระทั่งถูกนำออกมาขาย ทั้งที่หมดอายุแล้วก็ตาม
หากเป็นความจริง เรื่องนี้ไม่เพียงบั่นทอนศรัทธาของประชาชน แต่ยังสะท้อนถึงการจัดการที่ขาดความโปร่งใสและไม่คำนึงถึงคุณค่าของสิ่งที่ผู้ศรัทธานำมามอบให้ด้วยใจ
มิติทางสังคม : เมื่อศรัทธาถูกสั่นคลอน
เหตุการณ์ที่ส้มเช้งออกมาเปิดเผย กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมไทย เพราะวัดพระบาทน้ำพุเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่กับการทำบุญเพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวีมานานหลายสิบปี การที่ศิลปินตลกชื่อดังออกมาเล่าประสบการณ์ตรงในเชิงลบ ทำให้เกิดการตั้งคำถามครั้งใหญ่ในหมู่ประชาชน
เงินบริจาคถูกจัดการอย่างไร?
ผู้ป่วยได้รับความช่วยเหลือเต็มที่จริงหรือไม่?
การทำบุญกลายเป็นธุรกิจแฝงผลประโยชน์ไปแล้วหรือเปล่า?
การมองในอีกแง่
อย่างไรก็ตาม ก็มีมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ชี้ว่า วัดพระบาทน้ำพุอาจกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก เพราะต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมหาศาลตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ยา และบุคลากรสูงมาก การมีระบบเจ้าหน้าที่และการจัดการที่เป็นระบบแบบบริษัทอาจไม่ใช่เรื่องผิด หากทำไปเพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ
แต่สิ่งสำคัญคือความโปร่งใสและการสื่อสารที่ชัดเจนต่อสาธารณะ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและสร้างความศรัทธากลับคืนมา
ทำไมสังคมจึงต้องการความโปร่งใส?
ศรัทธาของประชาชนเป็นสิ่งเปราะบาง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับศาสนาและการทำบุญ หากความไว้เนื้อเชื่อใจถูกสั่นคลอน ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชื่อเสียงของวัด แต่ยังบั่นทอนแรงศรัทธาของผู้ศรัทธาทั่วประเทศ
ประชาชนต้องการ ความมั่นใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่บริจาคไปถึงมือผู้ป่วยจริง
ผู้ทำบุญคาดหวัง ความโปร่งใสและความซื่อสัตย์จากผู้ดูแล
วัดควรมีระบบ ตรวจสอบได้ และ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ อย่างสม่ำเสมอ
บทเรียนสำหรับวงการศาสนาและสังคมไทย
กรณีของส้มเช้ง สามช่า ไม่ใช่เพียงเรื่องราวส่วนบุคคล แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องให้ความสำคัญ วัดต่าง ๆ ที่รับเงินบริจาคจำนวนมากควรมีระบบบัญชีที่ตรวจสอบได้ เปิดเผยรายงานการเงิน และใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ศรัทธาตั้งใจไว้
ในขณะเดียวกัน ประชาชนเองก็ควรตระหนักว่า การทำบุญไม่ได้หมายความว่าต้อง “ให้เพียงอย่างเดียว” แต่ยังมีสิทธิที่จะถาม ตรวจสอบ และขอคำชี้แจง หากพบสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล
สรุป
เสียงของ “ส้มเช้ง สามช่า” ที่ออกมาเปิดเผยประสบการณ์ตรงกับวัดพระบาทน้ำพุ ไม่เพียงแต่ทำให้วงการบันเทิงจับตามอง แต่ยังทำให้ทั้งสังคมไทยเริ่มหันมาตั้งคำถามต่อระบบการจัดการเงินบริจาคและความโปร่งใสของวัด
จากความศรัทธาที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ วันนี้กลับถูกสั่นคลอนอย่างหนัก และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หากทุกฝ่ายหันมาให้ความสำคัญกับ “ความจริง ความซื่อสัตย์ และความโปร่งใส”
เพราะแท้จริงแล้ว บุญที่บริสุทธิ์ไม่ควรถูกเจือปนด้วยผลประโยชน์ และศรัทธาของประชาชนคือพลังสำคัญที่ต้องรักษาไว้






















