เด็กกัมพูชาพูดไทยชัด แต่ไม่สำนึกบุญคุณ แถมอ้างแผ่นดินเป็นของตน
เด็กหญิงกัมพูชาพูดไทยด่าไทยบริเวณชายแดน อ้างพื้นที่เป็นของเขมร ชาวเน็ตไม่พอใจ ลั่น “เนรคุณ” เรียกร้องทบทวนสิทธิการศึกษา
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์ทันที หลังจากเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง Army Military Force เผยแพร่คลิปวิดีโอของเด็กหญิงชาวกัมพูชาคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีรั้วลวดหนามหีบเพลงกั้นระหว่างสองประเทศ ภายในคลิป เด็กหญิงได้พูดเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน กล่าวอ้างว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็น “แผ่นดินกัมพูชา” และไม่ใช่ของไทย พร้อมทั้งตำหนิการกระทำของไทยว่า “ไม่ถูกต้อง” เพราะทำให้ประชาชนกัมพูชาได้รับความเดือดร้อน
คำพูดในคลิปสร้างกระแสความไม่พอใจในหมู่ชาวเน็ตไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่าเป็นการ “เนรคุณ” ประเทศไทย เนื่องจากเด็กหญิงคนดังกล่าวสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นผลมาจากการได้รับการศึกษาในระบบการเรียนการสอนของไทย แต่กลับนำภาษาที่ได้จากโอกาสนี้มาโจมตีประเทศไทย
เนื้อหาที่เด็กหญิงกัมพูชาพูดในคลิป
ในคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ เด็กหญิงชาวกัมพูชากล่าวเป็นภาษาไทยว่า
“บ้านของประชาชนอยู่ข้างในนะคะ ประชาชนก็ไม่มีบ้านอยู่แล้ว แล้วไทยท่าแบบนี้ไม่ถูกต้องนะคะ ที่นี่เป็นแผ่นดินของกัมพูชาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไทยมาเอา ไม่ใช่ของไทยนะคะ เป็นของกัมพูชา และไม่ใช่เอไอด้วยค่ะ แล้วประชาชนเดือดร้อนจะไม่มีบ้านอยู่อยู่แล้วค่ะ”
ประโยคดังกล่าวทำให้ผู้ชมจำนวนมากรู้สึกสะเทือนใจ เนื่องจากน้ำเสียงของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความมั่นใจในการอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ ทั้งยังใช้ภาษาไทยอย่างชัดเจน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากตั้งคำถามว่าเธอเรียนภาษาไทยมาจากที่ใด และเพราะเหตุใดจึงนำมาใช้ในลักษณะที่โจมตีประเทศไทย
กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์
หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ชาวเน็ตไทยจำนวนมากได้แสดงความเห็นอย่างดุเดือด โดยส่วนใหญ่ไม่พอใจกับพฤติกรรมของเด็กหญิงกัมพูชา และสะท้อนความรู้สึกว่า ประเทศไทยได้ให้โอกาสด้านการศึกษาและการดูแลสุขภาพแก่เด็กกัมพูชาที่อพยพเข้ามา แต่กลับถูกมองข้ามหรือถูกใช้เพื่อ “ย้อนกลับ” มาทำร้ายความสัมพันธ์
ความคิดเห็นจากชาวเน็ต เช่น
“นี่ไง ให้เข้ามาเรียนที่ไทย พอพูดไทยได้ ความเนรคุณก็เริ่มขึ้น”
“อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนไทยช่วงมีสงคราม พอจบสงครามแล้วไม่กลับ คิดว่าเป็นดินแดนของตัวเองไปแล้ว”
“เรียนหนังสือ รักษาพยาบาล ข้ามมาฝั่งไทย ภาษีคนไทยทั้งนั้น แต่ไม่สำนึกบุญคุณ”
“นี่คือเหตุผลที่ไม่ควรให้เด็กเขมรเรียนที่ไทย”
ความคิดเห็นเหล่านี้สะท้อนความไม่พอใจที่ลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่กรณีเด็กหญิงรายนี้ แต่ยังสะท้อนความรู้สึกสะสมของคนไทยบางส่วนต่อปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหวมานาน
ประเด็นสิทธิการศึกษาและการเข้าถึงบริการของแรงงานต่างด้าว
หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างมากคือ สิทธิของเด็กกัมพูชาและเด็กต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะตามแนวชายแดน เด็กเหล่านี้จำนวนไม่น้อยได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนของไทย ภายใต้นโยบายด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยยึดถือ
ประเทศไทยมีการจัดการศึกษาให้แก่บุตรหลานแรงงานข้ามชาติและผู้หนีภัยความขัดแย้ง โดยอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนไทยได้ แม้จะไม่มีสัญชาติไทยก็ตาม แนวทางนี้ถือเป็นการแสดงน้ำใจด้านมนุษยธรรม และช่วยลดปัญหาการไร้การศึกษาในกลุ่มเด็กต่างด้าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดกรณีดังกล่าว ชาวเน็ตจำนวนมากกลับมองว่า การให้โอกาสนี้อาจกลายเป็น “การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า” หากผู้ที่ได้รับโอกาสไม่สำนึกบุญคุณ และกลับมาแสดงออกในเชิง “ต่อต้าน” ประเทศไทย
มุมมองด้านความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชามีทั้งช่วงที่แน่นแฟ้นและช่วงที่ตึงเครียด โดยเฉพาะในประเด็น เขตแดน ซึ่งมักจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นความขัดแย้งในหลายยุคสมัย ตัวอย่างเช่น กรณีพิพาทบริเวณ ปราสาทพระวิหาร ที่เคยนำไปสู่การปะทะกันของกองกำลังทหารทั้งสองฝ่าย
การที่เด็กหญิงชาวกัมพูชาพูดอ้างสิทธิ์เหนือแผ่นดินบริเวณชายแดนในคลิป จึงยิ่งกระตุ้นความรู้สึกอ่อนไหวของชาวไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา หลายคนจึงมองว่านี่ไม่ใช่เพียงคำพูดของเด็ก แต่เป็นการสะท้อนแนวคิดที่ถูกปลูกฝังในสังคมกัมพูชามาบางส่วน
มุมมองทางกฎหมายและความมั่นคง
ในมุมมองด้านกฎหมายและความมั่นคง ผู้เชี่ยวชาญบางรายชี้ว่า การออกมาพูดของเด็กหญิงรายนี้ แม้จะเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น แต่หากปล่อยให้คลิปดังกล่าวแพร่หลายโดยไม่ชี้แจง อาจสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานะของพื้นที่ชายแดน และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้
ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชายังมีคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ที่ทำหน้าที่เจรจาแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับเส้นเขตแดน การที่เด็กหญิงออกมาพูดเช่นนี้ แม้จะไม่ได้มีน้ำหนักทางกฎหมาย แต่ก็อาจถูกฝ่ายการเมืองบางกลุ่มหยิบไปใช้ในการสร้างความชอบธรรม
การถกเถียงเรื่อง “บุญคุณ” และ “สิทธิมนุษยชน”
ประเด็นที่น่าสนใจคือ เสียงของชาวเน็ตไทยที่ใช้คำว่า “เนรคุณ” ในการวิจารณ์เด็กหญิงและครอบครัวชาวกัมพูชา สะท้อนการมองว่าประเทศไทยได้ให้โอกาส แต่กลับถูกตอบแทนด้วยการกระทำที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางส่วนมองต่างออกไป โดยชี้ว่าเด็กอาจยังไม่เข้าใจมิติทางประวัติศาสตร์และกฎหมายอย่างถ่องแท้
การนำปัญหานี้มาโยงกับสิทธิการศึกษาอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมด เพราะการตัดสิทธิ์การศึกษาอาจละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน และสร้างปัญหาสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต การแก้ไขควรเน้นไปที่การสร้างความเข้าใจร่วมกัน และการสื่อสารที่ถูกต้อง
บทสรุป
กรณี “เด็กหญิงกัมพูชาพูดไทยด่าไทยบริเวณชายแดน” กลายเป็นประเด็นสะท้อนความตึงเครียดในหลายมิติ ทั้งด้านสังคม กฎหมาย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คำพูดของเด็กหญิงคนหนึ่งอาจดูเล็กน้อย แต่สามารถจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงใหญ่โตในโลกออนไลน์ได้
สิ่งที่ควรถามต่อคือ สังคมไทยควรรับมือกับเหตุการณ์ลักษณะนี้อย่างไร เราจะรักษาสมดุลระหว่าง การให้โอกาสด้านมนุษยธรรม กับ การปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ได้หรือไม่ และควรทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
แม้เสียงในโลกออนไลน์จะสะท้อนความโกรธและความไม่พอใจ แต่ในเชิงนโยบายและการทูต คำตอบอาจไม่ได้ง่ายเพียงแค่ “ห้ามเด็กกัมพูชาเรียนในไทย” แต่ต้องมองลึกถึงรากของปัญหา ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ เขตแดน และการอยู่ร่วมกันของผู้คนสองฝั่งชายแดน ที่ผูกพันกันมายาวนานเกินกว่าจะตัดขาดได้ด้วยคลิปสั้น ๆ เพียงคลิปเดียว
อ้างอิงจาก: เพจArmy Military Force






















