ไม่เกรงกฎหมาย! เด็ก 14 จุดไฟเผาหมา ข่มขู่คนเผยแพร่คลิป
สะเทือนใจ! เด็กชายวัย 14 ปี จ.ลำปาง ก่อเหตุเผาสุนัขพิการทั้งเป็น ก่อนนำซากทิ้งน้ำ – ล่าสุดยังส่งข้อความข่มขู่ชาวบ้าน
กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางบนโลกโซเชียล หลังจาก มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ (Watchdog Thailand Foundation – WDT) องค์กรด้านสิทธิสัตว์ที่ทำงานเพื่อต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์ ได้ออกมาเปิดเผยเหตุการณ์สุดสะเทือนใจสำหรับคนรักสุนัขและประชาชนทั่วไป
เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นใน อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เมื่อมีเด็กชายวัยเพียง 14 ปี ซึ่งยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุโหดเหี้ยมต่อสุนัขพิการที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถชน โดยการจุดไฟเผาสุนัขทั้งเป็นในห้องน้ำของบ้าน ก่อนจะนำซากไปทิ้งน้ำอย่างเลือดเย็น
เหตุการณ์เริ่มต้นอย่างไร
มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งเหตุจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า มีการกระทำทารุณกรรมสุนัขอย่างรุนแรง โดยสุนัขตัวดังกล่าวเพิ่งรอดชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ทำให้บาดเจ็บและเดินไม่ได้ตามปกติ
แทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ เด็กชายวัย 14 ปี กลับใช้น้ำมันราดตัวสุนัขแล้วจุดไฟเผาภายในห้องน้ำ ปล่อยให้เปลวไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงจนสุนัขเสียชีวิตอย่างทรมาน จากนั้นได้นำซากสุนัขไปทิ้งลงน้ำ
การดำเนินการของมูลนิธิและตำรวจ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ หลังจากชาวบ้านพบและถ่ายคลิปหลักฐานไว้ได้ มูลนิธิวอชด็อกจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับ สถานีตำรวจภูธรเกาะคา พร้อมประสานให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามตัวผู้ก่อเหตุและผู้ปกครองมาดำเนินการตามกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนอย่างรวดเร็ว จนสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด 3 คน พร้อมผู้ปกครองมาสอบสวน โดยเด็กชายวัย 14 ปี ให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง โดยอ้างว่า “กลัวว่าสุนัขอาจกัด” จึงใช้น้ำมันราดแล้วจุดไฟ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดบทลงโทษต่อผู้กระทำทารุณกรรมสัตว์ไม่ว่าด้วยเหตุใด แม้ว่าผู้ก่อเหตุจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม
ในกรณีนี้ กฎหมายกำหนดให้เด็กเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองและปรับพฤติกรรมอย่างเข้มงวด ซึ่งมักจะมีการทำงานร่วมกันระหว่างตำรวจ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และครู เพื่อประเมินสภาพจิตใจและความเสี่ยงในการกระทำซ้ำ
พฤติกรรมคึกคะนองและผลกระทบต่อสังคม
เจ้าหน้าที่ที่ทำคดีมองว่า การกระทำของเด็กชายวัย 14 ปีในครั้งนี้เป็นพฤติกรรมที่มีความรุนแรงสูงและเข้าข่ายคึกคะนอง โดยไม่ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์และผลกระทบต่อสังคม
กรณีนี้สร้างความสะเทือนใจแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรักสัตว์ที่เห็นว่าการทารุณกรรมสัตว์ไม่ควรถูกมองข้าม เนื่องจากเป็นหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจพัฒนาไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อมนุษย์ในอนาคต
ความคืบหน้าล่าสุด: ข่มขู่ชาวบ้านที่เผยแพร่คลิป
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เพจทางการของ มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ได้เผยข้อมูลความคืบหน้าเพิ่มเติมว่า หลังจากเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไปในสังคมออนไลน์ แก๊งเด็กวัย 14 ปีและเพื่อนที่เกี่ยวข้อง ได้มีการส่งข้อความไปข่มขู่ประชาชนหลายรายที่โพสต์หรือแชร์คลิปเหตุการณ์ดังกล่าว
ข้อความที่ส่งไปมีเนื้อหาข่มขู่ว่า “จะไปกระทืบถึงบ้าน” หากไม่ลบคลิปออกจากโซเชียล ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมคุกคามและอาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายเพิ่มเติม
ปฏิกิริยาของสังคมออนไลน์
หลังการเปิดเผยเรื่องนี้ ชาวเน็ตจำนวนมากได้ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อการกระทำของผู้ก่อเหตุ โดยมีการติดแฮชแท็กเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและเร่งปรับพฤติกรรมของเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้อีก
บางส่วนมองว่าควรเพิ่มมาตรการด้านการศึกษาและจิตวิทยาในโรงเรียน เพื่อสอดส่องพฤติกรรมเด็กที่มีแนวโน้มใช้ความรุนแรง พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับสวัสดิภาพสัตว์และความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพชีวิต
มุมมองด้านจิตวิทยาเด็กและเยาวชน
นักจิตวิทยาหลายคนเคยเตือนว่า การทารุณกรรมสัตว์ในวัยเด็ก อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาพฤติกรรมที่ร้ายแรง เช่น ความก้าวร้าว ความไร้ความเห็นอกเห็นใจ หรือปัญหาควบคุมอารมณ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อคนในอนาคต
ดังนั้น การจัดการกับกรณีนี้ไม่ควรมีเพียงการลงโทษ แต่ต้องควบคู่ไปกับการบำบัด ฟื้นฟู และสร้างความเข้าใจในเรื่องคุณค่าของชีวิตแก่ผู้ก่อเหตุ
สิ่งที่สังคมควรเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
กรณีเด็กชายวัย 14 ปีเผาสุนัขพิการทั้งเป็น สะท้อนให้เห็นปัญหาหลายด้านในสังคมไทย ทั้งเรื่องการดูแลเยาวชน การให้ความรู้เรื่องสิทธิสัตว์ ไปจนถึงการใช้โซเชียลมีเดียอย่างรับผิดชอบ
นอกจากนี้ ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมทารุณกรรมสัตว์แม้เพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่เหตุรุนแรงและการสูญเสียที่มากขึ้นในอนาคต
บทสรุป
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความสะเทือนใจแก่คนรักสัตว์ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนสังคมให้หันมาใส่ใจต่อพฤติกรรมเสี่ยงในหมู่เยาวชน การป้องกันและแก้ไขปัญหาต้องทำแบบบูรณาการ ทั้งด้านกฎหมาย การศึกษา และการบำบัดทางจิตใจ
ขณะนี้ประชาชนกำลังจับตาดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร ทั้งในด้านการเอาผิดตามกฎหมาย และการจัดการเพื่อไม่ให้ผู้ก่อเหตุกลับมากระทำซ้ำอีก





















