ผู้พันเบิร์ดท้าเดือดถึงฮุนเซน “กล้าแลกไหม” ไลก์พุ่งสนั่น
ศึกชายแดนไทย–กัมพูชาเดือด! “ผู้พันเบิร์ด” เสนอแลกตัวเชลยศึก 18 นาย กับการถอนกำลังทหารตามแนวชายแดน ท้าฮุนเซน “กล้าแลกไหม”
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชายังคงร้อนแรงต่อเนื่อง หลังเกิดการปะทะระหว่างกองกำลังทหารของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งในฝั่งทหารและประชาชน นอกจากนี้ ฝ่ายไทยสามารถจับกุมเชลยศึกซึ่งเป็นทหารกัมพูชาได้ทั้งหมด 18 นาย
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นชนวนความขัดแย้งทางการเมืองและความมั่นคงที่ถูกจับตามองจากทั้งสองฝั่ง รวมถึงสื่อมวลชนและประชาคมโลก เนื่องจากนับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ชายแดนที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรง
จุดเริ่มต้นของความขัดแยง
ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชาครั้งนี้มีจุดเริ่มจากปัญหาการอ้างสิทธิ์พื้นที่ตามแนวชายแดนที่ยังไม่เคยมีการตกลงแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน แม้ในอดีตจะมีการเจรจาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้อย่างถาวร
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีรายงานว่ากำลังทหารทั้งสองฝั่งได้เคลื่อนกำลังเข้ามาในพื้นที่พิพาทมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการเผชิญหน้าอย่างใกล้ชิด และสุดท้ายก็เกิดเหตุปะทะด้วยอาวุธหนักและเบา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย
การจับกุมเชลยศึก 18 นาย
หลังเหตุปะทะ กองกำลังทหารไทยสามารถจับกุมเชลยศึกซึ่งเป็นทหารกัมพูชาได้ 18 นาย โดยมีการควบคุมตัวไว้ในพื้นที่ปลอดภัยของฝ่ายไทย เพื่อรอการตัดสินใจเชิงนโยบายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
รัฐบาลกัมพูชา นำโดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวเชลยศึกทั้งหมดกลับประเทศทันที โดยอ้างหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีตามอนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก
“ผู้พันเบิร์ด” โพสต์ท้าฮุนเซน
ท่ามกลางกระแสเรียกร้องจากฝั่งกัมพูชา พลตรี วันชนะ สวัสดี หรือที่รู้จักกันในนาม “ผู้พันเบิร์ด” รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็นต่อข้อเรียกร้องของฮุนเซน โดยมีใจความสำคัญว่า
“การที่ฮุนเซนเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวเชลยศึก วัดความจริงใจว่าจะเป็นละครลวงโลกหรือไม่ ว่าห่วงคนเหล่านี้จริง หรือเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น เอาอย่างนี้ไหม ไทยปล่อยตัวเชลยศึก 18 คน ส่วนเขมรถอนกำลังเผชิญหน้าตลอดแนวชายแดน กล้าแลกกันแบบนี้ไหม ถ้าห่วงพวกเขาจริง”
ผู้พันเบิร์ดยังระบุเพิ่มเติมว่า หากสถานการณ์กลับกัน คือฝ่ายไทยถูกจับเป็นเชลย แม้เพียง 1 คน ฝ่ายไทยก็พร้อมจะแลกกับการถอนกำลังทันที เพราะเชื่อว่าชีวิตและอิสรภาพของกำลังพลมีค่ามากกว่าการคงสภาพการเผชิญหน้า
เหตุผลที่ไทยยังไม่ปล่อยตัวเชลยศึก
ผู้พันเบิร์ดอธิบายว่า เหตุที่ไทยยังคงควบคุมตัวเชลยศึกทั้ง 18 นายไว้ เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนยังคงมีการเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังทั้งสองประเทศอยู่ ซึ่งหมายความว่ายังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการปะทะอีกครั้ง
การปล่อยตัวเชลยศึกในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย อาจทำให้บุคคลเหล่านี้กลับไปจับอาวุธและเข้าร่วมการสู้รบอีก ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความสูญเสียและยืดเยื้อความขัดแย้ง ดังนั้นเพื่อให้การลดความตึงเครียดเกิดผลจริง การถอนกำลังเผชิญหน้าจากทั้งสองฝ่ายจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ
ผู้พันเบิร์ดย้ำว่า หากกัมพูชายอมถอนกำลังออกจากแนวชายแดน ฝ่ายไทยก็พร้อมจะถอนกำลังเช่นกัน และจะดำเนินการปล่อยตัวเชลยศึกภายใน 5 ชั่วโมงหลังจากการถอนกำลังเสร็จสิ้น
ปฏิกิริยาจากสองฝั่ง
ข้อเสนอของผู้พันเบิร์ดกลายเป็นหัวข้อร้อนในสื่อและโซเชียลมีเดียทันที ฝั่งผู้สนับสนุนมองว่าเป็นข้อเสนอที่แฟร์และสามารถใช้วัดความจริงใจของผู้นำกัมพูชาได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าฮุนเซนห่วงลูกน้องจริง ก็ควรยอมถอนกำลังเพื่อแลกกับชีวิตและอิสรภาพของพวกเขา
ขณะเดียวกัน ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยมองว่าการตั้งเงื่อนไขแลกเชลยศึกกับการถอนกำลังอาจซับซ้อนเกินไปในทางการทูต และเสี่ยงทำให้การเจรจาล้มเหลว เพราะฝ่ายกัมพูชาอาจมองว่าเป็นการบีบบังคับทางการเมือง
บริบททางกฎหมายและอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศ การปฏิบัติต่อเชลยศึกอยู่ภายใต้ อนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งกำหนดให้ต้องดูแลเชลยศึกอย่างมนุษยธรรม ห้ามทรมานหรือใช้ความรุนแรง และต้องปล่อยตัวเมื่อสงครามหรือการสู้รบสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ยังไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ และสถานะของการปะทะยังอยู่ในขอบเขต “ความขัดแย้งทางชายแดน” ทำให้การตีความข้อบังคับและขั้นตอนการปล่อยตัวเชลยศึกขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นหลัก
ความเสี่ยงหากการเจรจาล้มเหลว
หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อยุติได้ ความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะซ้ำยังคงสูง โดยเฉพาะเมื่อกำลังทหารของทั้งสองประเทศยังประจันหน้ากันในพื้นที่พิพาท การปะทะแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจขยายตัวจนกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่ได้
นอกจากนี้ การควบคุมเชลยศึกไว้นานเกินไปอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อจากฝั่งตรงข้าม เพื่อสร้างกระแสต่อต้านประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก
สถานการณ์หลังจากนี้
ยังต้องติดตามต่อไปว่ารัฐบาลกัมพูชาจะตอบสนองต่อข้อเสนอของผู้พันเบิร์ดอย่างไร หากฮุนเซนยอมตกลงตามเงื่อนไข อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความตึงเครียดและเปิดทางสู่การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
แต่ถ้าฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยหรือปฏิเสธ ข้อเสนอครั้งนี้ก็อาจตอกย้ำความแตกแยกและเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์ ซึ่งจะทำให้การคลี่คลายความขัดแยงเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
บทสรุป
กรณีข้อเสนอแลกตัวเชลยศึก 18 นายกับการถอนกำลังทหารของผู้พันเบิร์ด นับเป็นอีกหนึ่งหมากทางการเมืองและความมั่นคงที่น่าจับตามอง เพราะนอกจากจะท้าทายความจริงใจของผู้นำกัมพูชาแล้ว ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการรักษาชีวิตกำลังพลในภาวะความขัดแย้ง
ในสถานการณ์ที่ความตึงเครียดยังสูงเช่นนี้ ทุกการตัดสินใจย่อมส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งในแง่ความมั่นคง ชีวิตประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ





















