เดือด! อ.จตุรงค์ แฉวัดพระบาทน้ำพุ ทำช็อกทั้งรายการ
วัดพระบาทน้ำพุ เจอวิจารณ์หนัก หลังปฏิเสธผู้ป่วยและถูกตั้งคำถามเรื่องเงินบริจาค
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์และสื่อมวลชน หลังจากที่ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเงินบริจาคและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์วัดอย่างหนัก ทั้งเรื่องการปฏิเสธผู้ป่วย การจัดการสิ่งของบริจาค และภาพลักษณ์การรับบริจาคที่ดูเหมือนมุ่งเน้นเพียงเงินมากกว่าการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน
ความร้อนแรงของประเด็นนี้ยิ่งทวีคูณขึ้น เมื่อเรื่องราวถูกนำมานำเสนออีกครั้งในรายการ โหนกระแส โดย อ.จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา และรองประธาน มูลนิธิเอชไอวีเอเชีย ซึ่งได้เปิดเผยมุมมองและประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ
การปฏิเสธผู้ป่วยและประวัติที่หลายคนไม่รู้
อ.จตุรงค์ เล่าถึงเหตุการณ์ว่า วัดพระบาทน้ำพุได้ปฏิเสธผู้ป่วยบางรายมาเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี ทำให้ผู้ป่วยหลายคนที่เคยพึ่งพิงวัดต้องหันไปพึ่งพาแหล่งอื่น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่สามารถมีญาติมาดูแลได้ เนื่องจากติดงานประจำ
เขายกตัวอย่างกรณีหนึ่งที่สร้างความสงสัยในสังคมอย่างมาก ผู้ป่วยรายนี้ได้ถูกส่งไปยังวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมกับ เงินทำบุญจำนวน 25,000 บาท เพื่อให้ทางวัดช่วยดูแล แต่ทางวัดกลับ ปฏิเสธการรับผู้ป่วยแม้มีเงินบริจาค ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเหตุใดผู้ป่วยที่พร้อมเงินบริจาคจึงถูกปฏิเสธ ในขณะที่ผู้ที่เข้าวัดไปทำบุญตามปกติกลับได้รับการดูแล
อ.จตุรงค์ เผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา และเป็นสาเหตุให้เขาต้องส่งผู้ป่วยรายดังกล่าวไปยัง คลอง 8 บ้านคุณแม่ไพร์ซ แทน เพราะทางวัดไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามที่ร้องขอ
เงินบริจาคและการจัดการสิ่งของ
อีกประเด็นที่ทำให้สังคมตั้งคำถามอย่างหนัก คือการจัดการ สิ่งของบริจาค ที่หลายคนมองว่า วัดพระบาทน้ำพุไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ และบางครั้งก็ถูกทิ้งโดยไม่ได้รับการดูแล
สังคมออนไลน์ได้ตั้งข้อสงสัยว่า วัดอาจเน้นการรับเงินบริจาคมากกว่าการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจริง ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจำนวนไม่น้อย
มุมมองของนักวิชาการและผู้มีประสบการณ์
อ.จตุรงค์ กล่าวในรายการโหนกระแสว่า เขาเข้าใจถึงความยากลำบากในการจัดการวัดที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก แต่กรณีการปฏิเสธผู้ป่วยและการจัดการเงินบริจาคอย่างไม่โปร่งใส ทำให้ภาพลักษณ์ของวัดตกต่ำ
เขาย้ำว่า “วัดพระบาทน้ำพุเคยมีชื่อเสียงในฐานะศูนย์ช่วยเหลือผู้ป่วยที่เข้มแข็งและเชื่อถือได้ แต่ปัจจุบันมีผู้ป่วยหลายคนที่ถูกปฏิเสธ ทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า วัดจ้องแต่เงินบริจาคหรือไม่”
นอกจากนี้ อ.จตุรงค์ ยังเผยว่า มีองค์กรบางกองทุน เช่น บางกอกเรนโบว์ เคยรู้สึกผิดหวังกับวัดพระบาทน้ำพุ เนื่องจากเคยส่งผู้ป่วยมาที่วัดพร้อมเงินบริจาค แต่กลับถูกปฏิเสธ ทำให้องค์กรต้องหาทางช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยตัวเอง
ความเห็นจากผู้ดำเนินรายการ
ด้าน หนุ่ม กรรชัย ผู้ดำเนินรายการโหนกระแส ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสังคมยังจับตาอย่างใกล้ชิด เขาเน้นย้ำว่า ควรรอคำชี้แจงจาก หลวงพ่อวัดพระบาทน้ำพุ โดยตรง เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงและเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด
บทสรุปและความสำคัญของประเด็นนี้
เหตุการณ์ที่วัดพระบาทน้ำพุถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้ป่วยและการจัดการเงินบริจาค เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นต่อสถาบันทางศาสนาและองค์กรที่ช่วยเหลือผู้ป่วย
หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า การจัดการที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้เกิด ความไม่พอใจและสูญเสียความเชื่อมั่น จากผู้บริจาคและผู้เดือดร้อนโดยตรง
อ.จตุรงค์ แนะนำว่าการบริหารวัดและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยและเงินบริจาค ควรมี ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางสังคมและรักษาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร
ความเห็นจากสังคมออนไลน์
หลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ในรายการโหนกระแสและสื่อสังคมออนไลน์ ชาวเน็ตต่างแสดงความคิดเห็นหลากหลาย บางคนแสดงความเห็นใจผู้ป่วยที่ถูกปฏิเสธ บางคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้เงินบริจาค ส่วนผู้ที่ติดตามข่าวเรื่องนี้มานานต่างเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและชี้แจงจากวัดอย่างชัดเจน
ตัวอย่างความคิดเห็นจากผู้ใช้งานในโลกออนไลน์ เช่น
“ผู้ป่วยควรได้รับความช่วยเหลือก่อนเรื่องเงินบริจาค”
“การปฏิเสธผู้ป่วยแบบนี้ทำให้คนสงสัยจริง ๆ ว่าเงินบริจาคเอาไปทำอะไร”
“หวังว่าหลวงพ่อจะออกมาชี้แจงเพื่อความกระจ่าง”
ข้อเสนอแนะเพื่อความโปร่งใส
นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านองค์กรการกุศลแนะนำว่า วัดหรือมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยและเงินบริจาค ควรมีมาตรการดังนี้
1. ระบบตรวจสอบผู้ป่วยและเงินบริจาคอย่างชัดเจน – เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
2. การจัดการสิ่งของบริจาคอย่างเป็นระบบ – ตรวจสอบว่าใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่
3. การสื่อสารกับประชาชนและองค์กรพันธมิตร – ให้เข้าใจเหตุผลเมื่อไม่สามารถรับผู้ป่วยได้
4. ความโปร่งใสทางการเงิน – รายงานการใช้จ่ายและผลประโยชน์จากเงินบริจาคอย่างเปิดเผย
สรุป
เหตุการณ์ที่วัดพระบาทน้ำพุถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้ป่วยและการบริหารเงินบริจาค เป็นกรณีตัวอย่างที่สะท้อนความสำคัญของ ความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม ในการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยและผู้ด้อยโอกาส
ประชาชนและแฟน ๆ คาดหวังว่าหลวงพ่อวัดพระบาทน้ำพุจะออกมาชี้แจงอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจและรักษาความเชื่อมั่นที่สังคมมีต่อวัดและองค์กรการกุศล
เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่น่าสนใจและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในอนาคต





















