นักชกกุนขแมร์เปิดใจ ยอมอดเพื่อศักดิ์ศรี ไม่ขึ้นชกในไทย
ดราม่าวงการมวย! “กาก้า” นักชกกัมพูชา โพสต์แรงปฏิเสธขึ้นชกในไทย ลั่น "ยอมไม่มีจะกินดีกว่าโดนเหยียบย่ำ" ก่อนลบโพสต์หนีดราม่า
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในแวดวงกีฬามวยไทย และจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลอย่างหนัก หลังจาก "กาก้า" นักชกชาวกัมพูชาที่คุ้นหน้าคุ้นตาแฟนมวยไทยมาอย่างยาวนาน ได้ออกมาโพสต์ข้อความในเชิงต่อต้านการขึ้นชกที่ประเทศไทย โดยระบุว่าตนยอม “ไม่มีจะกิน” ดีกว่ากลับมาชกในไทยอีกครั้ง พร้อมกล่าวหาว่ามีการ “เหยียบย่ำคนเขมร” ในวงการ
แม้ข้อความดังกล่าวจะถูกลบออกจากเฟซบุ๊กส่วนตัวในเวลาต่อมา แต่เรื่องราวได้ถูกบันทึกและแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง ส่งผลให้แฟนมวยไทยจำนวนมากเกิดความไม่พอใจ และมองว่าการกระทำของกาก้าเป็นการไม่ให้เกียรติประเทศเจ้าภาพที่เคยให้โอกาสเขา
เส้นทางบนสังเวียนของ “กาก้า” จากเด็กนักชกสู่ประเด็นดราม่า
กาก้า เป็นนักชกชาวกัมพูชาที่เริ่มเส้นทางในวงการมวยไทยตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเคยใช้ชื่อมวยไทยว่า “กาก้า แป๊ะมีนบุรี” โดยสังกัดค่ายมวยในประเทศไทยเป็นเวลาหลายปี และเคยขึ้นชกในสนามมวยต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ตลอดช่วงเวลาที่อยู่เมืองไทย กาก้าถือเป็นหนึ่งในนักชกต่างชาติที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีฝีมือโดดเด่นและสไตล์การชกที่ดุดัน จนแฟนมวยหลายคนให้การยอมรับ แม้ในช่วงหลังจะมีการเดินทางกลับไปชกในประเทศกัมพูชาและตามเวทีต่างประเทศ แต่ความสัมพันธ์กับวงการมวยไทยก็ยังคงอยู่
โพสต์ปริศนาที่จุดชนวนดราม่า
เมื่อไม่นานมานี้ กาก้าได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเนื้อหาใจความสำคัญระบุว่า
“ยอมไม่มีกิน ดีกว่าให้ไปชกที่ประเทศไทยอีก หนมานอนคิดไปคิดมา วันที่ 5 จะชกดีไหม พอดีมีอาการบาดเจ็บจากการต่อย ตจว. และอีกอย่าง จิตใจตอนนี้ไม่อยากชกที่นี่แล้ว เขาแสดงปฏิกิริยาชัด เหยียบย่ำคนเขมร บีบนักมวยที่ไม่ค่อยเคารพเขา #ผมยอมไม่มีแดกดีกว่าโดนเหยียบย่ำครับ #ผมคนเขมรครับ”
ข้อความนี้ถูกมองว่าเป็นการพาดพิงถึงบุคคลหรือองค์กรในวงการมวยไทยว่าไม่ให้เกียรติและไม่เคารพนักชกกัมพูชา สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนมวยไทยและคนในวงการอย่างมาก
แรงกระเพื่อมในโซเชียล: คนไทยเดือด – ชาวกัมพูชาบางส่วนเห็นด้วย
หลังโพสต์ถูกเผยแพร่ โลกโซเชียลในฝั่งไทยเต็มไปด้วยคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก หลายคนมองว่ากาก้าลืมบุญคุณที่ประเทศไทยเคยให้โอกาสตั้งแต่เด็ก บางคนถึงขั้นเรียกร้องให้สนามมวยและโปรโมเตอร์ในไทย “แบน” เขาออกจากทุกเวที
ในขณะเดียวกัน ฝั่งชาวกัมพูชาบางส่วนกลับออกมาแสดงความเห็นสนับสนุน โดยมองว่ากาก้ากล้าที่จะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีชาติ แม้ต้องแลกกับรายได้จากการชกในไทยก็ตาม
ความเป็นมาของกระแส “มวยกัมพูชา vs มวยไทย”
ดราม่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีประเด็นร้อนเกี่ยวกับการถกเถียงว่า “มวยไทย” และ “กุนขแมร์” (ศิลปะการต่อสู้ของกัมพูชา) มีความแตกต่างกันอย่างไร และใครเป็นต้นกำเนิดศิลปะการต่อสู้ประเภทนี้
บางครั้งการแข่งขันระหว่างนักชกไทยกับนักชกกัมพูชา จึงไม่ใช่แค่เรื่องของกีฬา แต่ยังมี มิติทางประวัติศาสตร์และชาตินิยม เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างง่ายขึ้น
ทำไมโพสต์ของกาก้าถึงรุนแรงในสายตาแฟนมวยไทย
1. การปฏิเสธขึ้นชกในไทย: ถือเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่รับงานในประเทศที่เคยเป็นเวทีสร้างชื่อให้กับเขา
2. การกล่าวหาว่า “เหยียบย่ำคนเขมร”: เป็นประโยคที่ตีความได้ว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือไม่ให้เกียรติ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อ่อนไหวในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
3. การใช้ถ้อยคำแรง: เช่น “ยอมไม่มีแดก” ซึ่งไม่เพียงแต่ดูไม่สุภาพ แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ด้านลบต่อตัวเองในฐานะนักกีฬาสากล
การลบโพสต์: จุดจบหรือแค่พักเรื่อง?
แม้กาก้าจะลบโพสต์ดังกล่าวออกในเวลาต่อมา แต่หลายฝ่ายมองว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะข้อความได้ถูกแคปและแชร์ต่อในวงกว้าง ทั้งในกลุ่มแฟนมวยและสื่อออนไลน์
การลบโพสต์อาจเป็นเพราะเจ้าตัว “รับทัวร์” จากแฟนมวยไทยไม่ไหว หรืออาจเป็นการตัดสินใจจากทีมงานหรือผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้
ความเห็นจากคนในวงการ
แม้จะยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากสมาคมกีฬามวยไทยหรือโปรโมเตอร์ใหญ่ แต่แหล่งข่าวบางรายเผยว่า มีการพูดคุยภายในเพื่อประเมินสถานการณ์ และบางสนามมวยอาจพิจารณาไม่เชิญกาก้ามาขึ้นชกในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับแฟนมวยไทย
มุมมองด้านการกีฬาและการสื่อสาร
ในฐานะนักกีฬาอาชีพ การสื่อสารในที่สาธารณะโดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก คำพูดเพียงไม่กี่บรรทัดสามารถกระทบต่อภาพลักษณ์ การตลาด และความสัมพันธ์กับสปอนเซอร์ได้อย่างรุนแรง
สำหรับกาก้า การโพสต์ข้อความที่พาดพิงถึงชาติหรือวงการที่เคยให้โอกาส อาจเป็นการตัดโอกาสตัวเองในอนาคต และทำให้ภาพลักษณ์ในสายตาแฟนมวยไทยเปลี่ยนไปอย่างถาวร
บทเรียนจากกรณีนี้
1. นักกีฬากับความรับผิดชอบทางสังคม: คำพูดและการกระทำต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อวงกว้าง
2. โซเชียลมีเดียคือดาบสองคม: การระบายความรู้สึกโดยไม่คิดให้รอบคอบอาจสร้างปัญหามากกว่าที่คิด
3. มิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: เรื่องเล็กในมุมมองส่วนตัว อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในระดับชาติได้
สรุป
ดราม่าระหว่าง “กาก้า” นักชกชาวกัมพูชา กับวงการมวยไทยครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า กีฬามวยไม่ใช่เพียงการแข่งขันบนสังเวียน แต่ยังมีปัจจัยด้านประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการสื่อสารที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างซับซ้อน
แม้โพสต์ต้นเรื่องจะถูกลบออกไปแล้ว แต่ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความรู้สึกของแฟนมวยไทยยังคงอยู่ และคงต้องติดตามกันต่อไปว่า กาก้าจะออกมาชี้แจงหรือขอโทษต่อสาธารณะหรือไม่ และเส้นทางบนสังเวียนมวยไทยของเขาจะจบลงเพียงเท่านี้หรือจะมีการกลับมาอีกครั้งในอนาคต
---



















