ปืนลั่นคร่าทหารเขมร สื่อเงียบกริบ โยงปมสารพิษไทย
ปืนลั่นกลางค่าย! ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย – สื่อเขมรปิดข่าวเงียบ ขณะโซเชียลปั่นข่าวใส่ร้ายไทย
แม้สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณ ชายแดนไทย–กัมพูชา จะยังไม่ยุติ และยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนจากทั้งสองฝ่าย แต่ความตึงเครียดและความไม่ไว้วางใจกันยังคงดำเนินต่อไป ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปต่างติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์จะบานปลายไปในทิศทางใด
ล่าสุด วันที่ 12 สิงหาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force ได้รายงานเหตุการณ์จากฝั่งกัมพูชา ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้ติดตามข่าว นั่นคือ เหตุปืนลั่นในค่ายทหารกัมพูชา ที่ทำให้เพื่อนร่วมรบเสียชีวิตคาที่ 1 นาย
เหตุการณ์ปืนลั่นกลางดึก – ทหารดับคาที่
ตามรายงาน ระบุว่าเหตุเกิดขึ้น ในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ณ ฐานปฏิบัติการทหารกัมพูชา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายแดนลาว บริเวณจังหวัดพระวิหาร ฝั่งกัมพูชา ติดกับแขวงจำปาศักดิ์ของประเทศลาว
ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เกิดเหตุปืนลั่นโดยไม่ตั้งใจ กระสุนพุ่งเข้าใส่บริเวณหน้าอกของทหารนายหนึ่งอย่างจัง ส่งผลให้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่การปะทะกับฝ่ายตรงข้าม
เหตุการณ์นี้แตกต่างจากหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่ทหารกัมพูชาเสียชีวิตจากการปะทะตามแนวชายแดนกับทหารไทย จึงยิ่งสร้างความสนใจ เพราะเป็นการสูญเสียภายในหน่วยโดยไม่ได้เกิดจากศัตรู
รัฐบาลและสื่อกัมพูชาปิดข่าวเงียบ
สิ่งที่น่าสังเกตคือ หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น รัฐบาลกัมพูชาและสื่อภายในประเทศ ไม่มีการรายงานข่าวการเสียชีวิตครั้งนี้ออกสู่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นช่องโทรทัศน์หลัก หนังสือพิมพ์ หรือสำนักข่าวออนไลน์ในประเทศ
ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจากเหตุการณ์ถูกโพสต์ลงในกลุ่มแจ้งข่าวของกัมพูชาเพียงไม่นาน ก่อนจะถูกลบออกภายในไม่กี่นาที ทำให้ยิ่งเกิดข้อสงสัยในหมู่ประชาชนและผู้ติดตามข่าวจากต่างประเทศ ว่าเหตุใดทางการจึงต้องปิดบังเรื่องนี้
ข่าวปลอม–ข่าวปั่น: ใส่ร้ายไทยใช้สารพิษ
ขณะที่ฝั่งรัฐบาลและสื่อเงียบ โซเชียลมีเดียฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะเพจและกลุ่มออนไลน์ที่มีแนวคิดชาตินิยม กลับเริ่มเผยแพร่ข้อมูลอีกชุดหนึ่ง โดยกล่าวหาว่าทหารที่เสียชีวิต ไม่ได้เกิดจากปืนลั่น แต่เกิดจาก การถูกสารพิษโจมตีโดยทหารไทย
เนื้อหาข่าวปลอมดังกล่าวระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ ปราสาทตาเมือนธม (วัดตามันหมันทม) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยมีการปะทะกันในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และพยายามชี้นำว่าทหารไทยได้ใช้สารเคมีเพื่อทำร้ายทหารกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือ ทหารไทยได้ยึดคืนปราสาทตาเมือนธมตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่จะมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าหลังจากวันนั้น ทหารกัมพูชาไม่มีอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เหตุการณ์ปืนลั่นครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับปราสาทตาเมือนธม
เหตุใดต้องปิดข่าว?
การที่รัฐบาลกัมพูชาและสื่อหลักไม่รายงานเหตุการณ์นี้ อาจมีหลายสาเหตุ เช่น
1. ป้องกันการเสียขวัญกำลังใจ – การเสียชีวิตของทหารในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนตึงเครียด อาจทำให้ขวัญกำลังใจของกำลังพลและประชาชนลดลง
2. หลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ภายในประเทศ – อุบัติเหตุจากปืนลั่นอาจถูกมองว่าเป็นความบกพร่องด้านการฝึกหรือความไม่รอบคอบของหน่วยงาน
3. ควบคุมกระแสข่าว – รัฐบาลอาจต้องการควบคุมทิศทางของข้อมูล เพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์หรือท่าทีทางการเมืองที่กำหนดไว้
ผลกระทบต่อบรรยากาศชายแดน
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่ใช่การปะทะระหว่างทหารสองประเทศ แต่ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดยังสูง การปล่อยให้ข่าวลือหรือข่าวปลอมแพร่กระจาย อาจทำให้บรรยากาศตามแนวชายแดนแย่ลง และเพิ่มความหวาดระแวงระหว่างกำลังพลของทั้งสองฝ่าย
ในประวัติศาสตร์ ความเข้าใจผิดหรือการบิดเบือนข้อมูลเคยเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง การที่บางฝ่ายใช้เหตุการณ์ภายในของตนมาโยนความผิดให้ประเทศเพื่อนบ้าน จึงถือเป็นการกระทำที่เสี่ยงต่อการปะทุของสถานการณ์
บทเรียนจากเหตุการณ์นี้
1. สื่อสารอย่างโปร่งใส – การปิดข่าวหรือบิดเบือนข้อมูล อาจทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือข้อมูลจากภาครัฐ และหันไปพึ่งพาข่าวจากช่องทางที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกชี้นำ
2. การจัดการข่าวลวง – ในยุคโซเชียลมีเดีย ข่าวลวงสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว จึงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบก่อนเผยแพร่
3. การรักษาสันติภาพชายแดน – แม้เหตุการณ์จะเป็นอุบัติเหตุภายใน แต่หากถูกนำไปบิดเบือน อาจส่งผลให้เกิดความเกลียดชังระหว่างประเทศ
สรุป
วันที่ 12 สิงหาคม 2568 เกิดเหตุ ปืนลั่นในค่ายทหารกัมพูชา ใกล้ชายแดนลาว ทำให้ทหารเสียชีวิต 1 นาย
รัฐบาลและสื่อกัมพูชาปิดข่าวเงียบ ภาพและคลิปถูกลบออกจากโซเชียลอย่างรวดเร็ว
ฝั่งโซเชียลกัมพูชาบางส่วนปั่นข่าว กล่าวหาว่าทหารเสียชีวิตเพราะถูก สารพิษจากทหารไทย ที่ปราสาทตาเมือนธม
ความจริงคือ ทหารไทยได้ยึดคืนพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ 28 ก.ค. 68 และไม่มีทหารกัมพูชาอยู่ในพื้นที่หลังจากนั้น
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสารอย่างโปร่งใส และการตรวจสอบข่าวสารก่อนเผยแพร่
อ้างอิงจาก: เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force








