ทรัมป์ช่วย TikTok แต่จีนไม่พอใจ
ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความสนใจไปทั่วโลกหลังจากที่เขาออกคำสั่งฝ่ายบริหารเลื่อนการแบน TikTok ในสหรัฐฯ ออกไปอีก 75 วัน การตัดสินใจครั้งนี้ได้สร้างความยินดีให้กับผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ ที่มีจำนวนมากถึง 170 ล้านคน ซึ่งต่างรอคอยข่าวดีนี้อย่างใจจดใจจ่อหลังจากแอปพลิเคชันยอดนิยมเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกแบนมานานหลายเดือน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชาวอเมริกันหลายคนฉลองกับข่าวนี้ ฝั่งจีนกลับแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อข้อเสนอของทรัมป์มีการระบุว่า ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok อาจต้องขายหุ้น 50% ให้กับผู้ซื้อชาวอเมริกันเพื่อหลีกเลี่ยงการแบน
แนวคิดของทรัมป์ที่ให้ TikTok ดำเนินกิจการในรูปแบบกิจการร่วมค้า 50-50 ถูกมองว่าเป็นการประนีประนอมที่จะช่วยให้แอปพลิเคชันสามารถดำเนินการในสหรัฐฯ ต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา แต่ในสายตาของชาวจีน แนวคิดนี้กลับถูกมองว่าเป็นการบีบบังคับหรือ "ปล้น" อย่างไร้ยางอาย บนโซเชียลมีเดียจีน เช่น Weibo ผู้ใช้งานจำนวนมากได้แสดงความคิดเห็นในเชิงประชดประชันว่าหาก TikTok ต้องยอมขายหุ้น 50% ให้กับอเมริกา บริษัทอย่าง Apple หรือ Tesla ก็ควรยอมขายหุ้นให้จีนในอัตราเดียวกัน บางคนถึงกับเรียกสถานการณ์นี้ว่าเป็นการใช้พลังอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อกดดันบริษัทเอกชน
แม้ TikTok จะเป็นแอปที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ในจีนเอง TikTok กลับไม่ได้ให้บริการ เนื่องจาก ByteDance มีแอป Douyin ซึ่งเป็นแอปเวอร์ชันภายในประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่แล้ว แต่กระนั้น TikTok ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จด้านเทคโนโลยีของจีนในเวทีโลก ทำให้ข้อเสนอของทรัมป์เกี่ยวกับการขายหุ้นถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะลดทอนอิทธิพลของจีนในด้านเทคโนโลยี
ในแง่เศรษฐกิจ การเชื่อมโยงชะตากรรมของ TikTok เข้ากับนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น ทรัมป์ยังกล่าวเป็นนัยว่าเขาอาจใช้การเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตราที่สูงถึง 100% เพื่อกดดันให้จีนยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับ TikTok ท่าทีนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์การเจรจาแบบกดดันที่ทรัมป์เคยใช้มาแล้วในอดีต อย่างไรก็ตาม จีนก็ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลมีอำนาจตามกฎหมายที่จะปฏิเสธข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นของ TikTok โดยเฉพาะหากการขายนั้นส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยีอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท
ขณะที่สถานการณ์ยังคงไร้ข้อสรุป สื่อจีน เช่น Global Times ได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสหรัฐฯ โดยมองว่าสหรัฐฯ ใช้ "ความมั่นคงแห่งชาติ" เป็นข้ออ้างเพื่อแทรกแซงธุรกิจ และการกระทำเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่รัฐบาลจีน แต่ยังสร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวอเมริกันเองอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเห็นจากนักวิจารณ์ในจีนที่ชี้ให้เห็นว่าความพยายามของสหรัฐฯ ในการบังคับใช้มาตรการนี้อาจสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของตนเองในด้านการแข่งขันเทคโนโลยี