พายุฝุ่นสีแดง พัดถล่ม อ.หนองบุญมาก โคราช ทำชาวบ้านแตกตื่น
สองวันก่อน มีข่าว พายุฝุ่นสีแดง พัดถล่ม อ.หนองบุญมาก โคราช ทำชาวบ้านแตกตื่น (รูป 1-2) ชาวบ้านคงแทบไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงได้ตกใจ อาจสื่อได้ว่า ไทยไม่เคยแล้งขนาดนี้มาก่อนในหลายพื้นที่ เพราะนอกจากจะเป็นปี เอลนีโญ่ ที่แรงมากสุดแล้ว ป่าไม้ของไทยก็ถูกทำลายไปทุกที อย่างที่ทุกคนเห็นดราม่ากันมากับการเผาป่าในปีนี้และปีก่อนๆ ... ความแล้งทำให้หน้าดินแห้งมาก และพายุลมแรงสามารถดึงดูด (entrain) อนุภาคเล็กๆของฝุ่นดินได้ง่าย หากไม่มีต้นไม้/ป่าไม้มาคอยทำลายพลังงานของกระแสลม (dissipate energy) มันก็สามารถเกิดเป็นพายุที่ใหญ่กว่าปกติได้
ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับ Dust Bowl (แอ่งพายุฝุ่น) ในยุค 1930s ของอเมริกา (รูป 3-4) แต่ฉันก็อดคิดไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ นับวัน ป่าไทยจะยิ่งหมดไป ความแล้งยิ่งมาเยือน เพราะภูมิอากาศไทยที่เปลี่ยนไป ทั้งจากการทำลายป่าเองและอิทธิพลจากภายนอก เช่น เอลนีโญ่ หรือภาวะโลกร้อน .... เราอาจยังไม่รู้สึกถึงปัญหาจริงจัง แต่หากป่าถูกทำลายด้วยอัตราปัจจุบัน 20-30 ปีจากนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะมีเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่าปัจจุบันแค่ไหน โดยเฉพาะหากเอลนีโญ่ที่แรงเกิดนาน 4-6 ปีติดกัน (ปีเว้นปีก็ยังแย่) ปีนี้เรายังโชคดีบ้างที่พยากรณ์คาดการกันว่าเดือน กันยา นี้เอลนีโญ่จะจบลง และไทยเข้าหน้าฝน
เลยจะมาเล่าให้ฟังว่า ยุค Dust Bowl ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างถึงทำให้ชาวอเมริกันครึ่งล้านไร้บ้านไร้งานทำ บ้างก็อดตายหรือสำลักฝุ่นตาย 3.5ล้านคนย้ายออกจากพื้นที่ ..... ช่วงนั้นเป็นยุคที่เกิดภัยแล้งจัดในปี คศ 1934 1936 1939 (สังเกตุไม่ได้เกิดติดกันทุกปี) ประจวบกับการไถพรวนหน้าดินไร่นาที่ลึกเกินไป (50 ซม.) และการกำจัดพื้นที่หญ้า (ที่ธรรมชาติมีไว้ก่อนคนมาอยู่) เปลี่ยนมาเป็นไร่นาจำนวนมากในยุคนั้น ซึ่งหญ้าพวกนี้จริงๆรากมันจะคอยเก็บกักหน้าดินและความชื้น แม้แต่ในหน้าแล้งจัดและลมแรงๆ ...(พื้นที่ป่าในไทยที่โล่งเตียนจากการตัดไม้ อีกหน่อยก็ไม่ต่างกันมาก) ...
ดังนั้นในปีที่แล้งจัดพวกนี้ ดินเลยกลายเป็นฝุ่นไป เหตุการณ์กัดเซาะหน้าดิน/Dust Bowl นี้ครอบคลุมพื้นที่ขนาด 4 แสน ตร. กม. (เกือบเท่าประเทศไทย 5 แสน) ...อย่างไรก็ดี ภูมิประเทศในอเมริกาเหล่านี้เรียก กึ่งแห้งแล้ง (semi arid) และปริมาณฝนไม่เกิน 500 มม./ปี ซึ่งต่ำกว่าภาคเหนือ/อีสาน/กลางของไทยในยุคปัจจุบันราว 2 เท่า (เฉลี่ยนะ ปีที่แล้งจัดไทยเราก็มีฝนน้อยได้)
สุดท้ายพายุฝุ่นพวกนี้ ตอนนั้น ก็พัดไปทั่วอเมริกา ไปจนถึงขอบตะวันออกของประเทศทีเดียว (นิวยอร์ค ดีซี) นอกบริเวณพื้นที่เกษตรเหล่านี้ ...ฝุ่นทรายนับ 5 ล้าน กก. ทับถมเมืองชิคาโก้ ภายในเวลา 2 วันในปี 1934 ยังไม่นับเหตุการณ์อื่นๆ ที่ตามมาอีกมากมาย ....ในปี 1941 เมื่อฝนเริ่มมาปกติ ในบางรัฐ รัฐบาลได้พยายามหาวิธีทำให้พื้นที่หญ้าเหล่านั้นที่ถูกทำลายไปกลับคืนมาโดยใช้ฟางเข้าช่วย ...ในหลายพื้นที่เกษตร 75% ของดินที่อุดมถูกพัดหายไป
ไทยยังดีกว่ารัฐต่างๆในอเมริกาอยู่ว่า รัฐพวกนี้อยู่ห่างจากทะเลมาก เพราะประเทศเขาใหญ่มาก รัฐพวกนี้จึงถูกอิทธิพลจากภูมิอากาศจากทะเลน้อย แล้งก็แล้งสุดๆ (สังเกตุจังหวัดภาคใต้เราที่ติดทะเล ภูมิอากาศจะค่อนข้างเสถียรกว่า จว. ภาคอีสานและเหนือ ที่ร้อนนานแล้งนานกว่าเยอะ) รวมทั้งรัฐต่างๆที่ประสพเหตุ Dust Bowl พายุฝุ่นทรายนั้น เป็นรัฐที่พื้นที่ราบเรียบมากๆ เป็นขนาดกว้าง เวลาพายุทรายถล่มมันก็ sustain (พยุงรักษา) อำนาจทำลายล้างได้นาน ยิ่ง entrain อนุภาคฝุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นพายุฝุ่นขนาดยักษ์ได้ ....ขณะที่อันที่เกิดที่โคราช เจอบ้านคนเยอะๆ เจอป่าไม้มันก็สลายตัวได้ง่าย
หวังว่าจะเป็นบทเรียนของเขาที่ทำให้เราคนไทยย้อนกลับมาดูตัวเองได้ไม่มากก็น้อย แม้สเกลของกระบวนการและปัญหาของเราจะพื้นที่เล็กกว่าเขา ... สิ่งที่คนไทยอาจไม่เคยเห็นก็ได้เห็น เพราะประชากรเราก็เพิ่มมากขึ้น การเกษตรก็ต้องมีมากขึ้น .... ภูมิอากาศของเราที่ผ่านมาอาจจะดูว่ามันคงไม่เลวร้ายเท่าเขา แต่ในอนาคตหลายสิบปี ก็ไม่มีใครรู้แน่ หากป่าถูกทำลายไปเรื่อยๆ บวกกับภาวะโลกร้อนที่แย่ลงทุกที
โดย
ดร. ไพโรจน์ ฉัตรอนันทเวช
ที่ปรึกษา ศูนย์ภัยพิบัติ สถาบันนิด้า และนักวิจัย University of Arizona
https://www.facebook.com/tsunamithailandCaltech/photos/pcb.1118535051544050/1118500684880820/?type=3&theater
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Dust_Bowl
http://koratstartup.com/2016/05/04/sand-storm/
รูปโคราช ถ่ายโดย สุปราณี จิ้มกระโทก