ไปให้... หรือไปเที่ยว?? - มาบริจาค... หรือมาเพิ่มภาระ??
เมื่อเสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา เรากับเพื่อนๆไปบริจาคของให้น้องๆ รร. ตชด. บ้านหมันขาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ด้วยการประสานงานอย่างดีของเพื่อนคนหนึ่งเป็นครูอยู่อาชีวะเลย ทำให้รู้ว่าครูใหญ่ของที่นี่ต้องการเครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องปรุงรส (อย่างแรกพอเข้าใจ แต่อย่างหลังคืองงมาก แต่พอรู้เหตุผลก็บางอ้อ)
เรากับเพื่อนอีกคนเลยรวบรวมเงินเพื่อซื้อของตามที่ครูใหญ่ต้องการ พร้อมกันนี้ก็มีครูแผนกอาหารจากอาชีวะเลยไปสอนทำอาหารให้ชาวบ้าน เพราะนอกจากสิ่งของที่แจ้งมาแล้ว ครูใหญ่ก็อยากให้พวกเราช่วยสอนชาวบ้านทำข้าวเกรียบจากฟักแม้ว เพราะเป็นพืชที่ปลูกได้มากบนนั้น และชาวบ้านจะได้ทำเป็นอาชีพไว้เลี้ยงตัวเอง
สรุปทางเราจึงมี 2 กลุ่มด้วยกัน คือกลุ่มเราที่มาจากกรุงเทพฯ (แบบชวนกันมาชิลๆ) 5 คน และกลุ่มครูกับนักศึกษาจากอาชีวะเลยอีก 7 คน ทั้งหมด 12 คน
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี คุณครูได้สอนทำข้าวเกรียบและอาหารอีก 2 อย่าง เพื่อให้ชาวบ้านเห็นว่าสามารถแปรรูปฟักแม้วเป็นผลิตภัณฑ์อะไรได้บ้าง ส่วนเราก็เรียนอาหารมา เลยรับหน้าที่ทำข้าวเย็นให้เด็กๆ (ตอนแรกตั้งใจจะเป็นข้าวกลางวัน แต่ขึ้นมาบ่ายกว่าแล้ว เลยต้องเปลี่ยนเป็นข้าวเย็นแทน)
จนกระทั่งมีการมาเยือนของคนกลุ่มหนึ่ง ราว 20 คนกว่าๆ เดินทางมาจากนิคมอุตสาหกรรมโรจนะเพื่อบริจาคของให้เด็กๆ มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงวัยคุณป้า
หลังสอนทำข้าวเกรียบเสร็จแล้ว พวกเราก็รีบเตรียมอาหารเย็นให้เด็กต่อทันที รวมถึงอาหารของพวกเราและครู ตชด. ทำให้ไม่รู้ว่าคณะที่มาใหม่ทำอะไรกันบ้าง แต่เห็นว่าจะมีก่อกองไฟ เลยเข้าใจว่ามีโชว์กิจกรรมให้เด็กๆดู ถึงได้มาพร้อมเครื่องเสียงชุดใหญ่
จนราว 5 โมงเย็น เสียงเพลงก็เปิดดังกระหึ่ม ดังมากจนรู้สึกหนวกหูนิดๆ แต่ก็คิดว่าเอานะ การแสดงรอบกองไฟต้องใช้เสียงดังเพื่อให้ดูตื่นตาตื่นใจ
พอเด็กกินข้าวเย็นเสร็จ ก็มารับโกโก้ร้อนและขนมต่อ แต่เสียดายที่มีเด็กประมาณ 20 คน เพราะส่วนใหญ่กลับบ้านไปหมดแล้ว ซึ่งเด็กที่เหลืออยู่คือบ้านไกล ทำให้ต้องกินนอนที่ รร.
ส่วนเรากับเพื่อนๆ ก็มาตั้งโต๊ะกินข้าวเย็นข้างห้องครัวพร้อมครูใหญ่และครูท่านอื่นๆ พอสี่ทุ่มเราก็ไปอาบน้ำและเตรียมตัวนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาทำอาหารและเตรียมเดินทางกลับ
แต่ตอนนอนเสียงดนตรีก็ดังมากจนนอนไม่หลับ เลยเพิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เสียงดนตรีธรรมดาซะแล้ว เพราะมันเป็น "คาราโอเกะ" ที่มีคนเวียนกันร้อง แซวกันเล่นจนเริ่มหนวกหู พอออกมาถามเพื่อนที่ยืนอยู่แถวนั้น (เพราะเราทำกับข้าวในครัวตลอด เลยไม่รู้ว่าข้างนอกเค้าทำอะไรกัน) ถึงได้รู้ว่ามาก่อกองไฟทำบาร์บีคิวกินกันเอง แถมยังให้ครู ตชด.อำนวยความสะดวกหาเตาย่าง หาอุปกรณ์ต่างๆ ให้อีกด้วย (เห็นครูท่านนึงต้องวิ่งวุ่นคอยบริการอยู่ตลอด)
บอกตรงๆเราโกรธมากกกก เพราะอย่างแรกคือมันเป็นเวลาที่เด็กๆต้องนอนแล้ว แต่ดังขนาดนี้จะนอนยังไง? อย่างที่สองคือการเปิดเครื่องเสียงดังลั่นในหุบเขาที่เงียบสนิท คิดเอาเองว่าจะดังขนาดไหน ตอนนั้นได้แต่คิดในใจว่าคงเป็นแขกสำคัญของครูใหญ่ หรือแขกคนสนิทที่เป็นผู้มีพระคุณ รร.แห่งนี้ เลยพยายามข่มตาหลับและไม่สนใจเสียงที่(โคตรจะ)ดัง
พอตอนเช้าตื่นมา สิ่งที่งงมากคือน้ำเปล่าที่ซื้อไว้เป็นขวดและแบบถ้วยที่แบ่งแช่ในตู้เย็นหายไปเกือบหมด เหลือติดตู้เย็นอยู่นิดเดียว ทั้งที่เมื่อวานก็ยังเห็นว่ามีเหลืออยู่ และแล้วก็รู้ความจริงว่าคนกลุ่มนั้นมาต่อแถวกินกาแฟและโอวัลตินของพวกเรา แถมยังไม่เติมน้ำในกระติกน้ำร้อนให้ด้วย ดีที่ตื่นมาเจอก่อนไม่งั้นคงไหม้ไปแล้ว เท่านั้นไม่พอ ยังทิ้งแก้วน้ำที่กินแล้วไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย (ไม่ได้ถ่ายภาพไว้นะคะ) และแน่นอนว่าน้ำเปล่าของพวกเราก็เสร็จเรียบร้อยไปเช่นกัน แต่เห็นว่ากำลังจะกลับอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจซื้อน้ำดื่มระหว่างเข้าเมืองแทน
สนามกลางโรงเรียน ที่เมื่อคืนถูกใช้เป็นห้องคาราโอเกะ และลานบาร์บีคิวถึงเที่ยงคืน (ทีแรกขอถึงตีสอง แต่ครูใหญ่ให้ได้แค่นี้ เพราะปกติไม่เคยมีคณะไหนทำแบบนี้)
หลังจากบริจาคของเสร็จพวกเค้าก็เดินทางกลับทันที ส่วนพวกเราก็เตรียมเดินทางกลับเหมือนกัน ระหว่างทางได้คุยกับครูใหญ่แบบละเอียดถึงได้รู้ว่าคณะนี้มาแบบ "ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า" และตอนแรกบอกจะมาหลังเราหนึ่งวัน แต่ด้วยอะไรไม่รู้เลยมาชนกับเราพอดี
ส่วนเหตุที่รู้จัก รร.นี้ เพราะมีคนในหมู่บ้านไปทำงานที่โรงงานทำให้ชวนกันมาบริจาคของที่นี่ สรุปว่าครูใหญ่ก็ต้อนรับแบบงงๆ เพราะไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเหมือนปกติ ที่พักก็มีทั้งนอนเตนท์และนอนที่อาคารของ รร.
พอรู้เรื่องเราเลยคุยกับเพื่อนๆต่อ ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเค้าทำมันไม่ได้มีแค่นี้ เพราะต่างคนต่างก็เจอคนละนิดหน่อย เช่น
- ข้าวเกรียบที่คุณครูทำเพื่อสอนชาวบ้าน พอมาถึงก็มีคุณป้าประมาณสองคนเดินมาขอชิม จากนั้นก็ขอไปทั้งจานโดยที่ชาวบ้านยังไม่ได้ชิม
- น้ำเสริมไอโอดีน (มีป้ายติดบอกไว้ด้านหน้า) สำหรับให้เด็กๆตักกินเวลาหิวน้ำ แต่บางคนมาถึงก็ตักมาล้างเท้าซะงั้น??
- โกโก้ร้อนที่ชงให้เด็กกินตอนค่ำๆ ช่วงดึกหน่อยมีคนนึงเมากำลังได้ที่เดินมาขอโกโก้และขนม เลยให้ไปถ้วยเดียวเพราะทำมาให้เด็กๆ ส่วนขนมไม่ได้ให้เพราะมีจำกัด
- ที่ รร.มีห้องอาบน้ำอุ่น 1 ห้อง พอน้ำไม่ไหลก็มาตามเพื่อนเราไปช่วยดูให้ แล้วน้ำยังเย็นอยู่ก็เลยสาดน้ำทิ้งมาตรงขาเพื่อนเราแบบไม่สนใจว่ามันยืนดูเครื่องทำน้ำร้อนให้อยู่ (อาจดูเล็กน้อย แต่มันเป็นมารยาทที่ไม่ควรมากๆ)
- ตอนเช้ามากินกาแฟฟรียังไม่พอ ยังมาเปิดดูของในกล่องใส่อุปกรณ์ทำข้าวเกรียบที่วางอยู่บนโต๊ะอีกด้วย ไม่รู้ว่าอยากหาอะไรกินหรือสงสัยว่ามีอะไรข้างใน สุดท้ายก็เปิดถุงข้างๆ และหยิบเอาลูกสนสีน้ำตาลอ่อนในถุงติดมือไป เพื่อนเราบ่นเสียดายมากเพราะเป็นอันที่สวยที่สุด (ต่อให้เป็นของทาง รร.จริง ก็ไม่ควรมารื้อคนตามใจชอบแบบนี้)
- ตอนมอบของให้ รร. มีตัวแทนคนนึงพูดออกไมค์ว่าได้มอบเงินให้ทาง รร. 20,000 บาท(หรือ 30,000 ไม่แน่ใจ) แต่ความจริงให้มา 2,000 บาท คิดว่าเค้าคงรวมค่าอุปกรณ์ที่บริจาคให้เด็กด้วย แต่ปัญหาคือครูใหญ่ต้องมานั่งตอบคำถามหลายคนว่าเงินให้มาแค่ 2,000 จริงๆ ไม่ได้แอบเก็บไว้ส่วนตัว (เรื่องนี้อาจดูไม่มีไร แต่นึกถึงใจครูใหญ่นะคะ จะโดนมองว่ายังไงถ้าคุณครูหรือชาวบ้านถามว่าเงินสดทำไมมีแค่นี้)
นี่แหละค่ะ คร่าวๆก็มีเท่านี้ เราเลยอยากบอกพวกเค้าเหลือเกินว่า ที่นี่เป็น รร. ตชด. ตั้งอยู่กลางหุบเขา ไม่ใช่รีสอร์ทกลางแจ้งที่มีเตาบาร์บีคิวและกาแฟตอนเช้า สำหรับคน 20 คน ดังนั้นถ้าอยากมาเที่ยวแบบราคาถูก ก็ไปตามบ้านเพื่อน หรือไปพักรีสอร์ทที่มีส่วนลดจะดีกว่า หรือถ้าอยากจะมาบริจาคจริงๆ และอยากมาปาร์ตี้ด้วย ก็ไปหาที่พักในเมืองก่อนแล้วค่อยมาบริจาคของตอนเช้าเถอะค่ะ จะได้รบกวนทาง รร.ให้น้อยที่สุด เพราะไม่งั้นพวกเค้าอาจสับสนได้ว่าพวกคุณมาทำอะไรกันแน่
>>>> ทีแรกว่าจะไม่ตั้งกระทู้นี้เพราะเพื่อนบางคนอยากให้ปล่อยผ่านไป กลัวจะเกิดดราม่า แต่เราปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ เห็นใจครูใหญ่ที่พูดอะไรไม่ออก และรู้สึกละอายแทนในฐานะคนเมืองหรือคนที่มาบริจาคของเหมือนกัน ทำให้ตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างว่าอะไรควรไม่ควร
ยิ่งช่วงนี้ใกล้ปีใหม่ อาจมีอีกหลายคณะตั้งใจจะเดินทางไปบริจาคของตาม รร.ต่างๆ ถ้าไงก็ขอฝากทุกคนด้วยนะคะ ว่าการทำดี สุดท้ายอาจไม่ได้ดีเสมอไป "ถ้าเราตั้งเจตนาผิดตั้งแต่แรก" เพราะกลุ่มคนที่ไปบริจาคแบบมีจิตสำนึกก็มีมาก แต่กลุ่มคนที่ไปบริจาค+เที่ยว+ไม่มีจิตสำนึกก็มีเยอะ
ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไมครูใหญ่ขอเครื่องปรุงรส นั่นเพราะบางคณะที่เดินทางไปบริจาคของและทำอาหารกินเอง ส่วนใหญ่จะเตรียมเฉพาะเนื้อสัตว์ ผัก ฯลฯ แต่ไม่มีเครื่องปรุงรส ทำให้ต้องใช้ของทาง รร. ในขณะที่ทาง รร. ก็ต้องเก็บไว้ใช้ทำอาหารกลางวันเลี้ยงเด็กและคุณครูด้วย เลยทำให้เครื่องปรุงหมดเร็ว
ดังนั้นทางที่ดีก่อนไปบริจาคของที่ รร. หรือที่ชุมชนอะไรก็ตาม ลองโทรถามว่ายังมีของอะไรที่ต้องการอีกบ้าง เพราะพวกเสื้อผ้ามือสอง ตุ๊กตา ของเล่น ฯลฯ มีเต็มไปหมดจนแทบไม่ได้ใช้ แต่ที่ขาดมากๆ คือ "ความรู้ที่จะมอบให้ชาวบ้านหรือเด็กๆไว้ใช้เป็นอาชีพติดตัวต่อไป" ตรงนี้ครูใหญ่ต้องการและย้ำมาก แกอยากได้มาตลอดแต่ไม่เคยมีใครให้ เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่าอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้าสำคัญที่สุดสำหรับ รร.ที่อยู่ไกลแบบนี้
ว่าแล้วก็มาร่วมกันสร้างค่านิยมใหม่เถอะนะคะ
เพื่อ "การให้" จะได้เป็น "การให้อย่างแท้จริง"
ปล. เขียนยาวมากและยังเรียบเรียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าใครอ่านไม่เข้าใจก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
>> ขอบคุณมากค่ะ