หลังจากดูแลแฟนหนุ่มที่ป่วยเป็นลูคิเมียมา 6 ปี เธอก็ตัดสินใจบอกเลิก…
หนุ่มสาวเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย โดยที่ฝ่ายชายแอบชอบฝ่ายหญิงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่กล้าบอกเธอ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยชายหนุ่มดูและหญิงสาวดีเป็นพิเศษแต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาชอบ คิดแค่ว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี มีอยู่วันหนึ่งฝ่ายหญิงได้รับโทรศัพท์ของฝ่ายชาย บอกว่าเขาอยู่โรงพยาบาล
เมื่อขี้นปีสอง เพราะว่าอาการของเพื่อนหนุ่มยังรักษาไม่ได้ และพอดีกับที่หญิงสาวเรียนในคณะแพทย์ที่ดังที่สุดในจังหวัด เธอก็เลยพยายามหาข้อมูล ถามอาจารย์ ทุกวันสองวันก็จะเอาอาหารที่เขาชอบ ข้อมูลใหม่ๆ ไปเยี่ยม เธอโทรหา และสงเมสเสจให้เขาเป็นประจำ
คุณหมดสันนิษฐานว่าชายหนุ่มเป็นโรคม้ามโต ก่อนผ่าตัดก็อาการหนัก ในวันนั้นเอง หญิงสาวเห็นข้อความที่ชายหนุ่มคุยกับเพื่อนก็ได้รู้ว่าเขาชอบเธอ เธอรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจะตอบตกลงชายหนุ่มดีมั้ย เธอมีความรู้สึกดีๆให้เขา แต่มันไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว
แล้วหญิงแล้วก็เลือกที่จะบอกชายหนุ่มว่าเธอก็ชอบเขาเหมือนกัน เพราะอาจารย์ของเธอพูดว่า : ถ้าเขาตายในห้องผ่าตัด เธอจะเสียใจมาก ถ้าเขารอด เธอก็ยังมีโอกาสบอกเลิกเขาได้ เพราะอย่างนี้ ทั้งสองก็เลยคบกัน
ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นลูคิเมีย หญิงสาวอยู่ดูแลเขาตลอดเวลา ในขณะที่เพื่อนๆและครอบครัวของเธอล้วนไม่เห็นด้วย แต่หญิงสาวเป็นหัวแข็ง อะไรที่ตัดสินใจไปแล้วไม่มีใครจะมาเปลี่ยนแปลงเธอได้ เรื่องดีๆก็คือ ชายหนุ่มมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ รักษาไปสามปีอาการไม่กลับมา ห้าปีก็ไม่กลับมา ก็ถือว่าหาย พวกเขาวางแผนแต่งงาน ดูเหมือนว่าเรื่องราวดีๆกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
แล้วเรื่องเศร้าก็เกิดขึ้นวันที่ชายหนุ่มรักษาตัวได้ครบ 5 ปี สาวน้อยบอกเลิกเขา เลือกที่จะยุติความสัมพันธ์ที่มีมากว่า 6 ปี ผู้หญิงคนนั้นก็คือฉันเอง คุณคงจะอยากถามฉันว่า เรื่องราวดีๆกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทำไมเลือกที่จะบอกเลิก?
เหตุผลง่ายก็คือ ฉันไม่เคยรักเขา และทำให้่ตัวเองรู้สึกรักไม่ได้
ฉันไม่แคร์น้ำตาของพ่อแม่ ฉันบอกพวกเขาว่าฉันมีชีวิตของฉันเอง ฉันไม่สนใจว่าเขาอาจจะอยู่กับฉันไปจนแก่ไม่ได้ อยู่ด้วยกันได้นานเท่าไหร่ก็เท่านั้น ฉันไม่สนใจว่าเราจะมีลูกด้วยกันไม่ได้ ฉันไม่สนว่าเขาจะมีฐานะยังไง จนรวยแแค่ไหน
คำห้ามปรามของพ่อแม่ ฉันไม่เข้าใจสักนิดเดียว ฉันรู้สึกว่าพวกท่านไม่มีหัวใจ… เขาร่างกายอ่อนแอ ฉันดูแลเขาอย่างอ่อนโยน เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำ แค่เป็นผู้หญิงก็ทำได้ แถมยังเอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ทำได้ดีกว่า และเพื่อให้เขาร่างกายแข็งแรงขึ้น พอฉันไม่ให้เขาทำอะไร กินอะไรที่ไม่ควร เขาก็จะหงุดหงิดใส่ฉัน ใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า : ถ้าผมมีเงิน มีวันหนึ่งที่เจริญรุ่งเรือง ดูซิคุณจะทำยังไง!
จริงๆแล้วมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งรวมๆแล้วก็คือนิสัยพื้นฐานของเขา : เห็นแก่ตัว
เล่าถึงตอนนี้ คุณต้องคงอยากถามฉัน ผู้ชายแบบนี้ทำไมยังไปคบกับเขา? เหตุผลก็คือ : ฉันยึดมั่นในคำสัญญา รักเดียวใจเดียว ไม่ยอมแพ้ ฉันเคยชินที่จะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ และก็เพราะฉันไม่เป็นอิสระ ประนีประนอม แต่นอกจากเรื่องแย่ๆพวกนี้ เขาก็ดีกับฉันตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมฉัน
หลังจากเลิกกัน ก็เห็นพ่อแม่ดีใจ ฉันมานั่งย้อนคิด หลายๆปีที่ผ่านมานี่ฉันทำอะไรลงไป ทำไม่ฉันต้องทำร้ายพวกเขาอย่างนี้
ตอนเป็นวัยรุ่น มักจะมีความรู้สึกอยากเป็นฮีโร่ปกป้องโลก แต่พอโตขึ้น คุณก็จะรู้ว่า คุณช่วยโลกไม่ได้ แค่คุณช่วยตัวเองได้ นั่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถ้าสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ คุณก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากบอกกับตัวเองในอดีตว่า : อยากให้เธอช่วยตัวเองก่อน แล้วค่อยคิดจะช่วยเหลือคนอื่น อยากให้เห็นแก่ตัวสักนิด