อาชญากรรมข้ามชาติ “ขยับฐาน” ปรับแผน ขยายกิจการ จากกัมพูชา สู่เวียดนามและเกาะร้างใกล้กัมพูชา เอาให้โหด และหนียากกว่าเดิม !!!
กลางเดือนตุลาคม ปี 2025 ข่าวหนึ่งจากเกาหลีใต้ได้สร้างความสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้งในประเด็น “เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” ที่โยงใยอยู่ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อมีรายงานว่า มีผู้เสียหายอย่างน้อยสองรายส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยอ้างว่าถูกลักพาตัวมาจากกัมพูชา เหตุการณ์นี้กลายเป็นเบาะแสสำคัญที่สะท้อนว่า กลุ่มอาชญากรรมที่เคยใช้กัมพูชาเป็นศูนย์กลาง เริ่มเคลื่อนย้ายฐานปฏิบัติการไปยังพื้นที่ใหม่ — ทั้งเกาะร้าง พื้นที่ห่างไกล หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันอย่างเวียดนาม ลาว และเมียนมา
แรงสั่นสะเทือนนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ไม่กี่เดือนก่อน หลังจากที่สื่อหลายสำนัก รวมถึง Yonhap News ของเกาหลีใต้ รายงานการเปิดโปง “นิคมอาชญากรรม” ภายในประเทศกัมพูชา ซึ่งปลอมตัวในรูปแบบของบริษัทเทคโนโลยีและศูนย์ดูแลลูกค้าออนไลน์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นสถานที่กักขัง บังคับแรงงาน และหลอกลวงเหยื่อจากหลายประเทศ โดยเฉพาะชาวเกาหลีที่ถูกล่อลวงมาด้วยคำมั่นว่าจะได้งานดี รายได้สูง และวีซ่าถูกต้อง
เมื่อแรงกดดันจากรัฐบาลและสื่อมวลชนเพิ่มขึ้น กลุ่มผู้มีอิทธิพลในนิคมเหล่านี้เริ่มเคลื่อนไหวอย่างเร่งด่วน การเคลื่อนย้ายเกิดขึ้นแบบเงียบเชียบ แต่เป็นระบบราวกับการอพยพที่วางแผนไว้นานแล้ว จุดศูนย์กลางอย่างเมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่เฟื่องฟูของบ่อนออนไลน์และธุรกิจมืด เริ่มว่างเปล่าไปทีละส่วน ขณะที่ในพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ ก็เริ่มมีการขนย้ายอุปกรณ์ สายไฟ และระบบเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
แหล่งข่าวคนหนึ่งที่เคยทำงานอยู่ในคอมเพล็กซ์แห่งหนึ่งยอมรับกับผู้สื่อข่าวของ Yonhap ว่า การย้ายฐานนั้นไม่ได้ทำเพื่อหลบหนีโดยสิ้นเชิง หากแต่เป็น “การถอยชั่วคราว” เพื่อรอให้สถานการณ์สงบลง เขาเล่าว่า “บางกลุ่มเลือกจะย้ายออกไปเพียงไม่กี่เดือน พอข่าวเงียบ ก็กลับมาดำเนินการต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” คำให้การนี้สะท้อนว่า อาชญากรรมในลักษณะนี้ไม่ได้สูญสิ้น แต่เพียงปรับเปลี่ยนที่ตั้งเพื่อคงอยู่ต่อไปในเงามืด
สำหรับกลุ่มที่ตัดสินใจอพยพออกนอกประเทศ จุดหมายปลายทางยอดนิยมคือบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชากับลาว และกัมพูชากับเวียดนาม บางส่วนข้ามไปตั้งฐานในเขตพื้นที่ป่า หรือเกาะเล็ก ๆ ที่เข้าถึงยาก เพราะที่นั่นไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด และยากต่อการหลบหนีของผู้ที่ถูกกักขัง อดีตพนักงานในคอมเพล็กซ์รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า “พวกเขาเลือกที่ที่ไม่มีไฟ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เพราะต้องการควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในมือ ไม่มีใครร้องขอความช่วยเหลือได้”
ส่วนอีกแหล่งข่าวหนึ่งเผยว่า จุดหมายปลายทางของแต่ละกลุ่มขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ “เจิ้นจู” ผู้นำเครือข่ายชาวจีนผู้ควบคุมเส้นทางการเงินทั้งหมด เขาอธิบายว่า “กลุ่มเจิ้นจูจะเลือกประเทศที่รัฐบาลเข้มงวดน้อย และมีช่องโหว่ทางกฎหมาย เช่น เวียดนาม เมียนมา หรือแม้แต่ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการค้ามนุษย์และการจ้างวานฆ่ากันอยู่บ่อยครั้ง” คำพูดนั้นอาจฟังดูน่ากลัว แต่สะท้อนความจริงของโลกใต้ดินที่ยังคงดำเนินอยู่ในภูมิภาคนี้
แม้จะมีบางกลุ่มย้ายหนี แต่ “นิคมอาชญากรรมขนาดใหญ่” อย่าง นิคมแทยาจันจี ในกัมพูชายังคงยืนหยัดอยู่ในพื้นที่เดิม มีอิทธิพลครอบคลุมหลายเมือง และยังดำเนินกิจกรรมในเงามืดต่อไป ผู้ที่คุ้นเคยกับพื้นที่เล่าว่า กลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีอาวุธครบมือ หากยังมีระบบเฝ้าระวังผ่านกล้องวงจรปิดและระบบดาวเทียมส่วนตัว ใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสเพื่อป้องกันการสืบค้นจากเจ้าหน้าที่รัฐ การจะบุกเข้าจับกุมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกเส้นทางเข้าออกถูกเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา
ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อมูลว่ากลุ่มใหม่ ๆ กำลังเริ่มสร้าง “นิคมรุ่นต่อไป” บนเกาะร้างและพื้นที่ห่างไกลในกัมพูชา โดยใช้วิธีปิดล้อมพื้นที่และดัดแปลงสิ่งปลูกสร้างให้เป็นที่พักอาศัยและห้องทำงานขนาดเล็ก แต่ภายในกลับมีการควบคุมตัวแรงงานต่างชาติหลายสิบคนให้ทำงานหลอกลวงทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พื้นที่เหล่านี้ยากต่อการเข้าถึงของเจ้าหน้าที่และองค์กรสิทธิมนุษยชน เพราะต้องใช้เรือขนาดใหญ่หรือเฮลิคอปเตอร์เท่านั้นในการเดินทาง
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลกัมพูชากำลังพยายามเร่งปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมภายในประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศในเอเชีย รวมถึงเกาหลีใต้ ซึ่งมีพลเมืองจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ แต่ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายเริ่มรัดกุมขึ้น กลุ่มผู้มีอิทธิพลก็ปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว — จากเมืองใหญ่สู่ชายแดน จากตึกสำนักงานสู่เกาะร้าง
และเบาะแสจากเวียดนามในเดือนตุลาคมนี้ คือหลักฐานล่าสุดที่บ่งชี้ว่า การย้ายฐานได้เกิดขึ้นจริง ผู้เสียหายที่ส่งข้อความขอความช่วยเหลือบอกว่าถูกลักพาตัวจากพื้นที่หนึ่งในกัมพูชา ก่อนจะถูกนำตัวข้ามพรมแดนมาที่ฮานอย แม้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าพวกเขาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ใด แต่ทางการเกาหลีใต้และเวียดนามกำลังเร่งประสานงานเพื่อสืบหาต้นตอของเครือข่ายดังกล่าว
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงตอกย้ำถึงความโหดร้ายของอาชญากรรมข้ามชาติเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของมันได้อย่างน่ากลัว ทุกครั้งที่มีการปราบปรามในที่หนึ่ง เงามืดก็เพียงแค่เคลื่อนไปซ่อนตัวในอีกแห่งหนึ่ง ไม่มีพรมแดน ไม่มีขอบเขต มีเพียงการย้ายถิ่นฐานของความชั่วร้ายที่ยังคงแผ่ขยายไปตามช่องว่างของกฎหมายและการตรวจสอบ
ในโลกที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าหากัน การปราบปรามอาชญากรรมลักษณะนี้อาจไม่อาจอาศัยพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่งได้อีกต่อไป มันต้องการความร่วมมือระหว่างชาติ ความเข้าใจในระบบการเงินดิจิทัล และความกล้าพอที่จะส่องไฟเข้าไปในพื้นที่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อยากมองเห็น เพราะตราบใดที่ยังมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ในมือ กลุ่มอาชญากรรมก็จะยังคงหาทาง “อยู่รอด” ต่อไปในเงามืดของโลกใบนี้เสมอ.






















