ไทยยินดีสหรัฐฯ เดินหน้าปราบขบวนการสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมจับมือร่วมผลักดันภูมิภาคปลอดภัยทางดิจิทัล
รัฐบาลไทยแสดงท่าทีชัดเจน ยินดีกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ประกาศมาตรการเข้มข้นในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไทยยืนยันพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เนื่องจากถือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความพยายามของประเทศไทยในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และประชาชนในวงกว้าง
มาตรการของสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่เครือข่ายสแกมเมอร์ที่มีศูนย์บัญชาการและฐานปฏิบัติการในหลายประเทศของภูมิภาค โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่มักถูกใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนของกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ ซึ่งล่อลวงเหยื่อให้ร่วมลงทุนหรือทำงานปลอมทางออนไลน์ ล่าสุดทางการสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นบัญชีดำกลุ่มบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้อง พร้อมระบุว่าจะร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อทำลายเครือข่ายทั้งหมดให้สิ้นซาก
ฝั่งไทย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยืนยันว่า ไทยให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ อาทิ FBI, INTERPOL และหน่วยข่าวกรองของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและขยายผลการสืบสวน ทั้งยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามเส้นทางการเงินของกลุ่มสแกมเมอร์ พร้อมผลักดันกฎหมายใหม่ให้ครอบคลุมรูปแบบอาชญากรรมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในโลกดิจิทัล
รัฐบาลไทยมองว่าความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ของภูมิภาค รวมทั้งสร้างกลไกสากลในการป้องกันภัยคุกคามออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และแพลตฟอร์มโซเชียลถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงและฟอกเงิน ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รวดเร็วระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ไทยยังได้เดินหน้ามาตรการภายในประเทศอย่างเข้มงวด ทั้งการปิดกั้นบัญชีม้า การยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเพิ่มโทษผู้สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือในการทำบัญชีหลอก รวมถึงการให้ความรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในการใช้เทคโนโลยี
ฝ่ายความมั่นคงของไทยยังเปิดเผยว่า ปัญหาเครือข่ายสแกมเมอร์จำนวนมากมีต้นตอมาจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลได้เร่งเจรจากับรัฐบาลเพื่อนบ้านเพื่อกวาดล้างค่ายกักแรงงานและศูนย์สแกมที่มักอ้างตัวเป็นบริษัทเทคโนโลยี โดยในช่วงปีที่ผ่านมา มีการช่วยเหลือผู้เสียหายหลายร้อยรายจากประเทศต่าง ๆ รวมถึงเกาหลีใต้ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ถูกล่อลวงเข้ามาทำงานในพื้นที่เหล่านี้
รัฐบาลไทยย้ำว่า การแก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ การที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทจึงถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเสถียรภาพของภูมิภาค และเป็นการส่งสารชัดเจนถึงกลุ่มอาชญากรว่าจะไม่มีที่ให้หลบซ่อนอีกต่อไป
ในอนาคต ไทยตั้งเป้าที่จะผลักดัน “โครงการภูมิภาคปลอดภัยทางดิจิทัล (Digital Safety ASEAN Initiative)” ซึ่งมุ่งสร้างระบบป้องกันภัยไซเบอร์ร่วมกันระหว่างประเทศอาเซียน และเชื่อมต่อฐานข้อมูลกับพันธมิตรโลกตะวันตก เพื่อให้การติดตามเส้นทางเงินผิดกฎหมายทำได้แบบเรียลไทม์
การจับมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการสร้างภูมิคุ้มกันในยุคดิจิทัล แต่ยังตอกย้ำจุดยืนของไทยในฐานะประเทศที่พร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และยืนหยัดเคียงข้างประชาคมโลกในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไร้พรมแดน เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย โปร่งใส และน่าเชื่อถือสำหรับทุกคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
















