ระอุสภา! "อดิศร" แฉค่าหัวโหวตนายกฯ 30 ล้าน ซัดอนุทินกล้าสาบานไหม
ศึกกลางสภา! “อดิศร เพียงเกษ” ปูดค่าหัวโหวตนายกฯ 30 ล้าน จี้ “อนุทิน” เคลียร์ด่วน ท้าสาบานวัดพระแก้ว ย้ำต้องได้เก้าอี้นายกฯ แบบใสสะอาด
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา เกิดเหตุการณ์ที่ถูกจับตาจากทั้งสื่อมวลชนและสาธารณชนทั่วประเทศ เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ซึ่งจัดขึ้นเป็นกรณีพิเศษ มีการพิจารณาวาระสำคัญว่าด้วยการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญไทย โดยมีการเสนอชื่อ 2 แคนดิเดตหลัก ได้แก่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
นายชัยเกษม นิติสิริ ผู้แทนจากพรรคเพื่อไทย
แต่ท่ามกลางบรรยากาศการอภิปรายกลับมีเหตุการณ์ดุเดือด เมื่อ นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายอย่างเผ็ดร้อน พร้อมกล่าวหาว่ามีการใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับเสียงโหวตในการสนับสนุนให้ นายอนุทิน ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย
ปมร้อน: ข่าวลือเงินสะพัดพันล้านเพื่อเก้าอี้นายกฯ
นายอดิศร ระบุในที่ประชุมว่า ได้ยินข่าวลือหนาหูจากหลายฝ่ายในสภา ว่ามีการทุ่มงบประมาณ 1,500 – 2,000 ล้านบาท เพื่อแลกกับเสียงโหวตนายกฯ โดยเจาะจงไปที่การสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล
เขายกประเด็นว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทยหายไปจากการโหวตถึง 8 คน ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการ "ต่อรองผลประโยชน์" อยู่เบื้องหลังหรือไม่ พร้อมทั้งตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า
ตัวเลขจริงที่ใช้ในการ “ซื้อตัว” ผู้แทนเพื่อสนับสนุนนายอนุทินคือเท่าไร?
มีการรับเงินก้อนแรก 10 ล้านบาท และเงินเพิ่มเติมอีก 10+10 ล้านบาท รวมเป็น 30 ล้านบาทจริงหรือไม่?
ข้อกล่าวหานี้ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเดือดพล่าน ส.ส.พรรคภูมิใจไทยลุกขึ้นประท้วงทันที โดยยืนยันว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี หากมีหลักฐานก็ขอให้นำออกมาแสดงต่อสาธารณะ
คำท้าทาย: สาบานวัดพระแก้วพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ที่ทำให้หลายฝ่ายฮือฮาและนำไปพูดถึงอย่างกว้างขวาง คือ คำท้าของนายอดิศร ที่บอกว่า หากนายอนุทินยืนยันว่าได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยวิถีทางที่โปร่งใสจริง ก็ขอให้ไป สาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดพระแก้ว ว่าไม่ได้มีการใช้เงินซื้อตัวใด ๆ
เขากล่าวว่า หากการสาบานนี้ไม่เป็นความจริงและมีการใช้เงินซื้อเสียงจริง ขอให้เกิดอัปมงคลกับผู้ที่กล่าวอ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องภายใน “7 วัน 9 วัน”
คำพูดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ห้องประชุมเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ยังสร้างแรงสะเทือนในสังคมออนไลน์ทันที เพราะการสาบานในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นวัดพระแก้วนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ในวัฒนธรรมไทย
การเปรียบเทียบ “ชัยเกษม” VS “อนุทิน”
นายอดิศรยังได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของ นายชัยเกษม นิติสิริ กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยยืนยันว่าชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และประวัติการทำงานของนายชัยเกษมนั้น “เหนือกว่าแบบเทียบกันไม่ติด”
เขาระบุว่า หากเทียบกันแบบ “นิ้วต่อนิ้ว เซ็นต่อเซ็น” นายอนุทินไม่สามารถทัดเทียมได้ และหากพรรคการเมืองใดเลือกที่จะสนับสนุนนายอนุทิน ก็ต้องร่วมรับผิดชอบต่อข้อครหาที่เกิดขึ้นด้วย
คำปราศรัยเชิงกวี: “ส้มเท้งค้ำยันเขากระโดง”
อีกหนึ่งประโยคที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือการใช้ ถ้อยคำเชิงกวีและเปรียบเปรย ของนายอดิศร ที่กล่าวว่า
“ส้มเท้งค้ำยันเขากระโดง ผูกโยงฮั้ว ส.ว. ไว้ปลายเสา ขัดสีฉวีวรรณให้มันเงา ย่องเบาอำนาจอธิปไตย นี่คือการย่องเบาอำนาจอธิปไตย ปล่อยให้คนแบบนี้เป็นนายกฯ ไม่ได้”
คำกล่าวนี้ตีความได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจและการประสานผลประโยชน์กับสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการ “ขโมยอำนาจอธิปไตยของประชาชน” อย่างแยบคาย
เสียงสะท้อนในสังคมและการเมือง
หลังการอภิปราย คำกล่าวหานี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในสื่อมวลชนและสังคมออนไลน์ทันที หลายฝ่ายมองว่า หากข้อกล่าวหานี้เป็นจริง จะถือเป็นการบ่อนทำลายความชอบธรรมของการเมืองไทยอย่างร้ายแรง แต่หากเป็นเพียงการใส่ร้าย ก็จะกลายเป็น “บาดแผล” ต่อภาพลักษณ์ของฝ่ายค้านและนายอดิศรเอง
1. ฝ่ายสนับสนุนอนุทิน ออกมาปกป้องว่า ข้อกล่าวหาไร้หลักฐานชัดเจน เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองเพื่อโจมตีแคนดิเดตที่มีโอกาสชนะ
2. ฝ่ายวิจารณ์ ชี้ว่าการเมืองไทยต้องการความโปร่งใส และหากไม่มีการพิสูจน์เรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในระบบรัฐสภา
3. นักวิชาการด้านการเมือง เสนอว่า สภาควรมีการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อกล่าวหาการใช้เงินซื้อตัว ส.ส. เพื่อคืนความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
บทสรุป: วิกฤติศรัทธาและอนาคตการเมืองไทย
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองไทย ที่มักมีข่าวลือเรื่องการใช้เงินซื้อเสียง ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ
หาก นายอนุทิน สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้จริง เขาจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยความมั่นใจและเพิ่มพูนความเชื่อมั่นจากสังคม
แต่หากข้อกล่าวหานี้ไม่ได้รับการพิสูจน์จนกระจ่าง จะกลายเป็นบาดแผลทางการเมืองที่ส่งผลยาวนานต่อทั้งพรรคภูมิใจไทยและภาพลักษณ์รัฐบาลใหม่
สิ่งที่สังคมไทยกำลังรอคำตอบคือ ความจริงที่อยู่เบื้องหลังข่าวลือ “ค่าหัวโหวต 30 ล้าน” จะเป็นเพียงเกมการเมืองเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม หรือเป็นความจริงที่สะเทือนวงการการเมืองไทยอีกครั้ง






















