ลั่นห้องพิจารณา! ศาลสั่งจำคุก “นารา เครปกะเทย” ฐานโพสต์ผิด ม.112
ศาลพิพากษาคดี “นารา เครปกะเทย” ม.112 ให้โทษจำคุก แต่รอลงอาญา 2 ปี พร้อมคุมประพฤติและบำเพ็ญประโยชน์
วันที่ 3 กันยายน 2568 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในคดีสำคัญที่สังคมจับตาอย่างใกล้ชิด เกี่ยวข้องกับ อนิวัต ประทุมถิ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อบนโลกโซเชียลว่า “นารา เครปกะเทย” อายุ 26 ปี อินฟลูเอนเซอร์และเน็ตไอดอลที่เคยตกเป็นข่าวหลายครั้งทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยในครั้งนี้เป็นคดีความร้ายแรงตาม มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (หรือที่สังคมมักเรียกกันว่า “คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”)
ที่มาของคดี : โพสต์และคอมเมนต์บนเฟซบุ๊กเมื่อปี 2563
ต้นเหตุของคดีนี้ย้อนไปเมื่อปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองไทยเต็มไปด้วยความตึงเครียด การเคลื่อนไหวของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและเยาวชน เริ่มมีการตั้งคำถามถึงโครงสร้างอำนาจรัฐและบทบาทของสถาบันกษัตริย์
นารา เครปกะเทย ได้โพสต์ข้อความหนึ่งลงใน เฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมทั้งมีการคอมเมนต์เพิ่มเติมใต้โพสต์ของตนเอง เนื้อหาที่ถูกระบุว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายตามมาตรา 112 และ พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และอัยการมีคำสั่งฟ้องต่อศาลอาญา ส่งผลให้นาราต้องเผชิญกระบวนการพิจารณาคดีตามขั้นตอนกฎหมาย
คำพิพากษาของศาล
ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาโดยสรุปดังนี้
จำเลยมีความผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาจำคุก 3 ปี
แต่เนื่องจากจำเลย ให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน
พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยสำนึกผิด และแสดงความพร้อมที่จะปรับปรุงตัวเอง จึงมีคำสั่งให้ รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี
ในระหว่างนี้ให้ คุมประพฤติ 1 ปี ต้อง ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน
ให้ บำเพ็ญประโยชน์รวม 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ ได้แก่ วันพระบรมราชสมภพ และวันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 9
ศาลยังได้ระบุด้วยว่า การกระทำของจำเลยนั้นเป็นการ บั่นทอนคุณค่าความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งการทำความดี แต่เนื่องจากจำเลยยอมรับผิดและมีท่าทีสำนึก จึงเลือกใช้มาตรการรอลงอาญาแทนการจำคุกจริง
คำขอของอัยการโจทก์
อัยการได้ยื่นคำขอให้ นับโทษต่อเนื่อง จากคดีอื่นที่จำเลยเคยถูกดำเนินคดีมาก่อนหน้านี้ แต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากคดีนี้มีคำพิพากษาแบบรอลงอาญา จึง ไม่สามารถนับโทษต่อได้ และได้มีคำสั่ง ยกคำขอของโจทก์
เงื่อนไขที่ศาลกำหนด
เพื่อให้จำเลยไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ ศาลได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม ได้แก่
1. ห้ามกระทำผิดซ้ำ ไม่ว่าลักษณะใดที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันหรือผิดกฎหมายที่ใกล้เคียง
2. ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจะติดตามทั้งพฤติกรรม การประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิต
3. ต้องเข้าร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความรับผิดชอบ
ผลสะเทือนต่อสังคมและโลกออนไลน์
หลังคำพิพากษาถูกเผยแพร่ออกมา โลกโซเชียลได้มีการพูดถึงคดีของนารา เครปกะเทยอย่างกว้างขวาง
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า การรอลงอาญาเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว เพราะจำเลยยังอายุน้อย ควรได้รับโอกาสกลับตัวและปรับปรุงตนเอง
อีกฝ่ายกลับมองว่าคดีมาตรา 112 ควรได้รับการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เพราะเกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติ และโทษที่รอการลงอาญาอาจถูกมองว่าเบาเกินไป
ความเห็นที่แตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงการถกเถียงทางสังคมเกี่ยวกับ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และ ขอบเขตของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในประเทศไทย
วิเคราะห์เชิงกฎหมาย : มาตรา 112 และแนวทางของศาล
มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กำหนดโทษผู้ที่กระทำความผิดโดยการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี
กรณีของนารา เครปกะเทย ศาลได้ใช้หลักการ ลดโทษกึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยรับสารภาพ ตามกฎหมาย และพิจารณาปัจจัยประกอบ เช่น ความสำนึกผิดและอายุยังน้อย ส่งผลให้ศาลตัดสินใจ รอลงอาญา แทนการจำคุกจริง
บทบาทของ “นารา เครปกะเทย” ในโลกออนไลน์
ก่อนหน้าคดีนี้ นาราเป็นที่รู้จักจากการทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ ทั้งในแง่การขายสินค้า รีวิว หรือคลิปวิดีโอเชิงบันเทิง แต่ก็มักตกเป็นกระแสดราม่าอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเรื่องพฤติกรรมส่วนตัว การโพสต์ข้อความแรง ๆ และการแสดงออกที่แตกต่างจากภาพลักษณ์เน็ตไอดอลทั่วไป
คดีนี้จึงเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้สังคมหันกลับมามองบทบาทของ อินฟลูเอนเซอร์กับการใช้โซเชียลมีเดีย เพราะเพียงโพสต์ไม่กี่บรรทัด ก็สามารถนำไปสู่การดำเนินคดีร้ายแรงได้
คำถามที่ยังคงอยู่
แม้ศาลจะมีคำพิพากษาแล้ว แต่สังคมยังคงตั้งคำถามหลายประเด็น เช่น
กฎหมายมาตรา 112 ควรตีความอย่างไรในยุคดิจิทัลที่การสื่อสารรวดเร็วและกว้างขวาง
การรอลงอาญาในคดีนี้จะช่วยให้จำเลยกลับตัวจริงหรือไม่
สังคมไทยควรหาจุดสมดุลระหว่างการคุ้มครองสถาบันกับการเปิดพื้นที่เสรีภาพมากน้อยเพียงใด
บทสรุป
คดีของ นารา เครปกะเทย ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาสำคัญของสังคมไทย ที่สะท้อนทั้งเรื่อง เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และ ข้อจำกัดของกฎหมาย พร้อมกันไป
แม้ศาลจะมีคำสั่งให้รอลงอาญา แต่เงื่อนไขการคุมประพฤติและบำเพ็ญประโยชน์ ยังคงเป็นเครื่องมือกดดันให้จำเลยต้องระมัดระวังพฤติกรรมต่อไป การพิพากษาครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงสังคมโดยรวมว่า การใช้โซเชียลมีเดียต้องมีความรับผิดชอบ และคำพูดออนไลน์อาจกลายเป็นหลักฐานในคดีความได้เสมอ






















