ทฤษฎีใหม่ช็อกโลก! สัญญาณ “Wow! Signal” ที่เคยเชื่อว่ามาจากมนุษย์ต่างดาว แท้จริงแล้วคืออะไร?
เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน ในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1977 โลกของเราได้ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เจอร์รี อาร์. เอห์มาน (Jerry R. Ehman) ได้ตรวจจับสัญญาณวิทยุความถี่แคบที่ทรงพลังอย่างน่าประหลาดใจ ขณะใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Big Ear ของมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก เขารู้สึกทึ่งกับความชัดเจนของสัญญาณนี้มากจนถึงกับเขียนคำว่า "Wow!" ลงบนกระดาษบันทึก สัญญาณที่เรียกกันว่า "Wow! Signal" นี้จึงกลายเป็นหนึ่งในปริศนาทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และกระตุ้นคำถามที่ว่า "เราอยู่เพียงลำพังหรือไม่?"
เป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่สัญญาณนี้ยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงในหมู่นักวิทยาศาสตร์ โดยมีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายที่มาของมัน ทั้งจากแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติและแหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น
ล่าสุด ความพยายามครั้งใหม่จากทีมอาสาสมัครได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลต้นฉบับกว่า 75,000 หน้าจากหอสังเกตการณ์ Big Ear อย่างละเอียด การวิเคราะห์นี้ได้ตัดทอนความเป็นไปได้จากแหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้นเกือบทั้งหมดในยุคนั้น เช่น ไม่มีสถานีโทรทัศน์ที่สามารถปล่อยสัญญาณดังกล่าวได้ และไม่มีดาวเทียมดวงใดที่โคจรอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม นอกจากนี้ ดวงจันทร์ก็อยู่คนละด้านกับโลก จึงไม่น่าจะเกิดการสะท้อนสัญญาณใด ๆ และจากข้อมูลในยุคนั้นพบว่าดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากพอที่จะทำให้เกิดการรบกวนของสัญญาณได้
แม้ว่าจะสามารถตัดทอนความเป็นไปได้จากแหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้นออกไปได้เกือบทั้งหมด แต่ทีมวิจัยกลับมีความเชื่อว่าสัญญาณนี้อาจไม่ได้มาจากมนุษย์ต่างดาวอย่างที่หลายคนหวังไว้ พวกเขาเสนอทฤษฎีที่ดูสมเหตุสมผลกว่าว่า สัญญาณนี้อาจเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่าง "เมฆอะตอมไฮโดรเจนเป็นกลาง" (HI clouds) ที่สว่างขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ก็ยังไม่มีการสังเกตการณ์ใด ๆ ที่พบว่าเมฆอะตอมไฮโดรเจนสามารถปล่อยพลังงานได้ในระดับที่สูงเท่ากับสัญญาณที่ตรวจจับได้ในปี 1977
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการวิจัยล่าสุดนี้จะยังไม่สามารถสรุปผลสุดท้ายได้อย่างแน่นอน แต่ อเบล เมนเดซ (Abel Méndez) หัวหน้าโครงการได้กล่าวว่า "การศึกษาครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสังเกตการณ์ในอนาคต" การไขปริศนา "Wow! Signal" อาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่การค้นพบครั้งนี้ก็เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เราเข้าใกล้คำตอบมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว



















