ภูมิธรรม เผย ยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา คืนอำนาจประชาชนแล้ว
นายภูมิธรรม เวชยชัย รับยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภาฯ เหตุประชาธิปไตยบิดเบี้ยว ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน
วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2568 เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญในประเทศไทย เมื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าได้ ยื่นทูลเกล้าฯ เพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่เมื่อวานนี้ เนื่องจากเห็นว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันทำให้ระบบประชาธิปไตยบิดเบี้ยวและไม่สามารถดำเนินไปตามปกติได้
เหตุผลเบื้องหลังการยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา
นายภูมิธรรมกล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากการพิจารณาภาพรวมของสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยความสับสนและความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองหลายฝ่าย โดยเฉพาะ การทำงานร่วมกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ที่แม้จะมีการประกาศสนับสนุนโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่เข้าร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดรูปแบบทางการเมืองใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
นายภูมิธรรมชี้ว่า การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึง ความซับซ้อนทางการเมือง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
2. พรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
3. พรรคประชาชน ทำหน้าที่สองด้านพร้อมกัน คือทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล
รูปแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ทำให้ประชาชนและสาธารณชนสับสน และสร้างความไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างมาก
สถานการณ์การเมืองที่สับสนอลหม่าน
นายภูมิธรรมระบุว่า บรรยากาศทางการเมืองขณะนี้เต็มไปด้วยความอลหม่าน ทั้งการซื้อขาย ส.ส. การดึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคต่าง ๆ เข้าสู่กลุ่มของตนเอง และความขัดแย้งในเรื่องการตั้งรัฐบาล ส่งผลให้ระบบประชาธิปไตยไม่สามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังเผชิญปัญหาและความไม่มั่นคงทางการเมือง ยังสร้างความกังวลต่อการลงทุนและความเชื่อมั่นของประชาชน นายภูมิธรรมกล่าวว่า หากความเชื่อมั่นของประชาชนไม่กลับคืนมา จะทำให้ปัญหาเศรษฐกิจถูกกระทบและรุมเร้าเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายกฎหมายจึงเห็นว่า ควรคืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกตั้งและตัดสินอนาคตของตนเอง
กระบวนการยื่นทูลเกล้าฯ
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ในฐานะที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้ รวบรวมความเห็นและพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯ ให้พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ทางการเมือง พร้อมทั้งคาดหวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า การยื่นทูลเกล้าฯ ทำตาม กระบวนการทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยอยู่ในดุลพินิจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งการตัดสินใจนี้เป็นไปตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง และจะต้องรอให้เป็นไปตามกระบวนการต่อไป
การคืนอำนาจให้ประชาชน
นายภูมิธรรมกล่าวว่า การยื่นทูลเกล้าฯ เพื่อยุบสภาในครั้งนี้ เป็นการ คืนอำนาจให้ประชาชน เพราะระบบประชาธิปไตยปัจจุบันไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การยุบสภาจะช่วยให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกตัวแทนที่เหมาะสมและสร้างความมั่นคงทางการเมืองในอนาคต
เขาย้ำว่า พระราชอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ เป็นสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว และไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนพระองค์ได้
ข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปิดสภาและเลือกนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ในระหว่างกระบวนการยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา สามารถเสนอให้เปิดสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ได้ทันทีหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ยืนยันว่า ตัวเขาได้ยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
เมื่อถามถึงข้อกังวลด้านกฎหมาย นายภูมิธรรมยืนยันว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และไม่ละเมิดหลักการใด ๆ
ความสำคัญต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและความเชื่อมั่น
นายภูมิธรรมเน้นย้ำว่า การคืนอำนาจให้ประชาชนไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญต่อ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนทั่วไป เพราะการเมืองที่ไม่ชัดเจนและสับสนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง
เขากล่าวว่า หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา ปัญหาเศรษฐกิจจะถูกกระทบและเพิ่มความยากลำบากให้กับประชาชนมากขึ้น
บทสรุป
การยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภาของนายภูมิธรรม เวชยชัย ถือเป็น หนึ่งในความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปี ของประเทศไทย เพราะสะท้อนถึงความซับซ้อนของระบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน และความท้าทายของการบริหารประเทศในสถานการณ์ที่พรรคการเมืองมีความแตกต่างด้านอุดมการณ์
ทั้งนี้ การตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการยุบสภา เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับตัวแทนและอนาคตของประเทศด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็น รากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
สถานการณ์นี้จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เพราะมีผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชน นักลงทุน และเสถียรภาพของรัฐบาลในอนาคต





















