ปัญหาแรงงานในญี่ปุ่น : เมื่อสังคมผู้สูงอายุผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และแรงงานชาวไทยอาจจะเป็นคำตอบ....
ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ของสังคมยุคใหม่ที่ไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีหรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่คือ “ปัญหาแรงงาน” ที่มีรากฐานมาจากโครงสร้างประชากร ภายในประเทศมีอัตราการเกิดที่ลดลงต่อเนื่องมาหลายสิบปี แม้รัฐบาลจะพยายามออกแคมเปญกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่สร้างครอบครัว แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่ทันใจ เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสังคมเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ญี่ปุ่นมีประชากรผู้สูงอายุจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มวัยเกิน 60 ปีขึ้นไป นั่นทำให้แรงงานวัยทำงานหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้เทคโนโลยีทดแทนแรงงาน เช่น เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เคาน์เตอร์บริการแบบใช้คนน้อยที่สุด แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะอุดช่องว่างแรงงานที่ขาดหายไป
ช่วงหนึ่งจึงเกิดโอกาสสำหรับแรงงานผิดกฎหมาย รวมถึงแรงงานจากประเทศไทยที่เข้าไปทำงานในญี่ปุ่น ทว่าการพึ่งพาแรงงานเถื่อนย่อมไม่ใช่ทางออกในระยะยาว รัฐบาลญี่ปุ่นจึงหันมาออกนโยบายเปิดรับแรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ กระจายตามจังหวัดต่าง ๆ คล้ายการทดลองความหลากหลาย เพื่อดูว่าประชากรจากประเทศใดจะปรับตัวเข้ากับสังคมญี่ปุ่นได้ดี
แต่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็กลายเป็นจุดเปราะ มีข่าวแรงงานต่างชาติบางกลุ่มสร้างปัญหาหรือยึดถือขนบธรรมเนียมบ้านเกิดโดยไม่ปรับให้เข้ากับวิถีญี่ปุ่น เรื่องเหล่านี้ยิ่งทำให้คนท้องถิ่นตั้งคำถามว่าการนำเข้าแรงงานจำนวนมากจะเป็นผลดีจริงหรือไม่
ล่าสุด ความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อมีข่าวว่าญี่ปุ่นเตรียมดึงแรงงานจากแอฟริกาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบางจังหวัด รายงานจากฝั่งแอฟริกากลับตีความไปไกลว่าญี่ปุ่น “ยกเมือง ยกจังหวัด” ให้ชาวแอฟริกาอยู่อาศัย อีกทั้งยังเสริมเนื้อหาว่าแรงงานไม่จำเป็นต้องมีความรู้ก็สามารถเข้ามาได้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากในหลายประเทศแอฟริกาเข้าใจว่ามีสิทธิอพยพไปญี่ปุ่นได้อย่างเสรี
ข่าวดังกล่าวแพร่กระจายรวดเร็วในโซเชียลมีเดีย จนชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยมองว่าเป็นเรื่องอันตราย เพราะหากคนจำนวนมหาศาลแห่มาโดยไม่มีการคัดกรอง ย่อมกระทบต่อโครงสร้างสังคมและความปลอดภัยโดยตรง ความกังวลนี้บวกกับเหตุอาชญากรรมและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างชาติในอดีต กลายเป็นเชื้อไฟให้ประชาชนออกมาประท้วงนโยบายของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งย้ำว่า ไม่ได้ต่อต้านแรงงานต่างชาติทั้งหมด หากแต่ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาปัจจัยด้านวัฒนธรรมและการปรับตัว ตัวอย่างเช่นแรงงานไทยที่มีค่านิยมคล้ายคลึงกับญี่ปุ่นในเรื่องความเกรงใจและน้ำใจ แม้จะมีข่าวปัญหาบ้างแต่ก็ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับความแตกต่างสุดขั้วจากบางประเทศ
สถานการณ์ในญี่ปุ่นเวลานี้จึงสะท้อนความท้าทายของประเทศที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ การหาทางออกไม่ใช่เพียงการเติมแรงงานจากต่างชาติ แต่ต้องมองลึกถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม ความเข้าใจในวัฒนธรรม และการสร้างสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาภายในประเทศกับการเปิดรับโลกภายนอก ซึ่งยังเป็นโจทย์ที่ญี่ปุ่นต้องหาคำตอบต่อไป















