“รองเติ่ง” ผงาด! นักรบลูกอีสาน นั่งแม่ทัพภาค 2 คนล่าสุด
“แม่ทัพเติ่ง” พล.ต.วีระยุทธ ก้าวสู่เก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 2 – สืบต่อภารกิจความมั่นคงชายแดนอีสานใต้
เมื่อเดือนกันยายน 2568 กระแสในแวดวงกองทัพบกได้ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยสำคัญ นั่นคือ แม่ทัพภาคที่ 2 หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “แม่ทัพอีสาน” ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบกว้างใหญ่ ครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะ ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ยังคงมีปัญหาความขัดแย้งบางจุดที่รอการแก้ไข
ในวันที่ 30 กันยายน 2568 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง หรือที่ได้รับฉายา “แม่ทัพกุ้ง” จะเกษียณอายุราชการอย่างเป็นทางการ และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป พล.ต.วีระยุทธ จะก้าวขึ้นนั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ท่ามกลางความคาดหวังและการจับตามองจากทุกฝ่าย
ไม่ใช่การเปลี่ยนม้ากลางศึก แต่คือการส่งต่อภารกิจ
แม้หลายคนอาจกังวลว่าการเปลี่ยนตัวแม่ทัพในช่วงเวลาที่สถานการณ์ชายแดนยังมีปัญหา อาจคล้ายกับ “การเปลี่ยนม้ากลางศึก” แต่สำหรับกรณีของ พล.ต.วีระยุทธนั้น แทบจะไม่มีความกังวลเช่นนั้นเกิดขึ้น
เพราะเส้นทางชีวิตราชการของเขาไม่ได้เพิ่งเริ่มต้น หากแต่ เต็มไปด้วยประสบการณ์ในพื้นที่จริง โดยเฉพาะเขตชายแดนที่ต้องเผชิญแรงกดดันตลอดเวลา อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง รวมถึงอดีตแม่ทัพภาค 2 หลายคน ที่ต่างยืนยันตรงกันว่าเขาคือ “นายทหารนักปฏิบัติ” ที่มีความซื่อสัตย์และไม่เคยเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน
เส้นทางชีวิตราชการ – จากผู้พันเติ้งสู่แม่ทัพเติ้ง
ในปี 2554 สมัยที่ พล.ต.วีระยุทธ ยังมียศ พันโท และรับตำแหน่ง ผู้บังคับกองพันทหารราบเฉพาะกิจที่ 161 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กองพันเฉพาะกิจพระวิหาร” เขามีหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่แนวชายแดนตั้งแต่ ช่องอานม้า – ภูมะเขือ ไปจนถึง พลาญยาว – พลาญหินแปดก้อน
พื้นที่ดังกล่าวถือเป็นแนวรบที่เปราะบางที่สุดในช่วงนั้น เพราะไทยและกัมพูชายังคงมีข้อพิพาทเรื่องพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด การปะทะเล็ก ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทุกการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ล้วนส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ
แม้จะเป็นภารกิจหนักหน่วง แต่ พล.ต.วีระยุทธก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเงียบขรึม สมกับบุคลิกที่ไม่พูดมาก แต่ทำงานจริงจัง ทำให้เขาได้รับการยกย่องจากทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาในช่วงเวลานั้น
การยอมรับจากรุ่นพี่และเพื่อนร่วมรุ่น
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การแต่งตั้ง พล.ต.วีระยุทธ ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ คือ การสนับสนุนจากอดีตแม่ทัพหลายคน ที่เคยร่วมงานกับเขามาแล้ว ต่างยืนยันถึงฝีมือและความซื่อสัตย์
แม้ในเชิงอาวุโส เขาจะมีลำดับสูงอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ เส้นทางการทำงานที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถจริง รวมถึงการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ยิ่งทำให้การประสานงานในอนาคตมีความราบรื่นและสอดคล้องกันมากขึ้น
อดีตแม่ทัพบางคนถึงกับกล่าวว่า “ชาวบ้านไม่ต้องห่วง เพราะพล.ต.วีระยุทธเป็นคนทำงานจริง ไม่มีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงแน่นอน”
ความท้าทายรออยู่ข้างหน้า
เมื่อ พล.ต.วีระยุทธ ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 2 ความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าไม่ใช่เรื่องเล็ก
1. ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา
เขตชายแดนอีสานใต้บางจุดยังคงมีข้อพิพาทที่ไม่ได้ข้อยุติ การปฏิบัติหน้าที่จึงต้องอาศัยทั้ง ความเด็ดขาดและความยืดหยุ่น ในเวลาเดียวกัน
การสร้างความเชื่อมั่นกับชาวบ้านตามแนวชายแดนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความปลอดภัยของประชาชนคือหัวใจของภารกิจ
2. การป้องกันปัญหาการลักลอบข้ามแดน
ไม่ว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย การลักลอบตัดไม้พะยูง หรือการขนสินค้าหนีภาษี ล้วนเป็นโจทย์ที่แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องจัดการอย่างจริงจัง
3. การพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
ภาคอีสานยังคงเป็นภูมิภาคที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การที่กองทัพเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและช่วยเหลือประชาชน ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่สังคมคาดหวัง
ไม่เพียงแต่กองทัพ – แต่คือความมั่นคงของชาติ
ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้หมายถึงการบัญชาการกองกำลังในภาคอีสานเท่านั้น แต่ยังหมายถึง การเป็นด่านหน้าของความมั่นคงของชาติ
ทุกการตัดสินใจของแม่ทัพล้วนมีผลต่อเสถียรภาพของประเทศ เพราะหากชายแดนไม่สงบ ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นใจของประชาชน
บทสรุป
การเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ของ พล.ต.วีระยุทธ จึงไม่ใช่การเปลี่ยนม้ากลางศึก แต่คือการส่งไม้ต่อให้กับนายทหารที่มีความพร้อมทั้งประสบการณ์และฝีมือ
จากผู้พันเติ้งในปี 2554 ที่เคยยืนหยัดเฝ้าชายแดนพระวิหาร สู่แม่ทัพเติ้งในปี 2568 ที่ต้องรับผิดชอบทั้งภาคอีสาน เป็นเส้นทางที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของนายทหารคนหนึ่งที่เดินหน้าปกป้องแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง
และนับจากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่เขา ว่าแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่นี้จะนำพากองทัพและประชาชนในภาคอีสานไปสู่ความสงบสุขได้มากเพียงใด






















