ศิษย์กัมพูชาทุนไทย สับแรง! ปริญญาบัตรไทยไร้ค่า ประกาศไม่เคยได้ความรู้จากเมืองไทย
ดราม่าชายกัมพูชา อดีตนักศึกษาทุนราชภัฏสุรินทร์ กลับบ้านจับปืนร่วมทัพชายแดน ปมร้อนโซเชียล หลังถูกแฉพูดไม่หมด–ครูโต้แรง
เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 สังคมออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ติดตามข่าวสารชายแดนไทย–กัมพูชา ต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง หลังจากเพจดังอย่าง Army Military Force ได้เผยแพร่โพสต์เล่าเรื่องราวของชายชาวกัมพูชารายหนึ่ง ซึ่งในอดีตเคยได้รับ โอกาสอันยิ่งใหญ่ จากประเทศไทย ด้วยการให้ทุนเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ชายรายนี้สามารถสื่อสารภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว มีโอกาสใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์หลายท่าน ซึ่งต่างให้ความเมตตา ไม่เพียงแต่สอนหนังสือ แต่ยังมอบโอกาสในการทำงานเสริม เช่น ช่วยซ่อมแซมระบบไฟฟ้า เปลี่ยนหลอดนีออน และทำงานช่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในอาคารเรียน ถือเป็นการมอบความไว้วางใจและเปิดประตูอนาคตให้กว้างขึ้น
แต่เรื่องราวกลับตาลปัตร เมื่อหลังจากเรียนจบและกลับไปยังประเทศบ้านเกิด เขากลับเลือกเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับผู้มีพระคุณ เพราะมีรายงานว่าได้จับอาวุธเข้าร่วมการปะทะกับ ทหารไทยตามแนวชายแดน
จากนักศึกษาทุนสู่ชายแดนร้อน: เส้นทางที่พลิกผัน
โพสต์จากเพจ Army Military Force ระบุถึงเหตุการณ์ที่สร้างความผิดหวังและความโกรธให้แก่ผู้ที่เคยรับรู้เรื่องราว โดยชี้ว่าแม้ครั้งแรกที่มีการปะทะชายแดน เขายังไม่เสียชีวิต แต่การเลือกจับปืนในครั้งนั้นก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เขาเลือกข้างที่ตรงข้ามกับแผ่นดินไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอุปถัมภ์และยื่นโอกาสทางการศึกษาให้
ข้อความหนึ่งในโพสต์ถึงกับใช้ถ้อยคำรุนแรงว่า
“ช่วยไปบอกครูมันด้วยนะ สิ่งที่มันพูดกับครู มันพูดไม่หมด มันสตอว์ครู!!!”
นี่คือการกล่าวหาว่า ชายกัมพูชาคนนี้ไม่ได้เปิดเผยความจริงทั้งหมดกับอาจารย์ผู้เคยให้การช่วยเหลือ และยังพยายามปกปิดพฤติกรรมบางส่วน
ครูผู้เคยดูแลออกมาปกป้อง
หลังจากเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป โลกออนไลน์เริ่มเกิดการถกเถียงอย่างร้อนแรง มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับเพจ และฝ่ายที่มองว่าควรรับฟังข้อมูลรอบด้าน โดยเฉพาะเมื่อมีความเคลื่อนไหวจาก อาจารย์ผู้เคยดูแลเขาขณะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
ครูคนดังกล่าวได้ส่งข้อความเข้ามายังอินบ็อกซ์ของแฟนเพจ TikTok ของ Army Military Force โดยระบุว่า
“ถ้ายังไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องแล้วมาโพสต์แบบนี้ มันทำให้คนอื่นเสียหายนะครับ รบกวนกลั่นกรองข้อมูลดี ๆ นะครับ”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนว่า ครูผู้เคยใกล้ชิดกับชายกัมพูชาคนดังกล่าวยังคงรู้สึกผูกพัน และพยายามจะชี้แจงให้เห็นถึงมุมมองอีกด้านหนึ่ง
การโต้ตอบของชายกัมพูชา
ในเวลาต่อมา สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้น เมื่อชายกัมพูชาคนนี้ได้เข้าไปคอมเมนต์โดยตรงในช่องของอาจารย์ พร้อมกล่าวด้วยถ้อยคำที่พยายามลดความขัดแย้ง โดยเขียนว่า
“อาจารย์เกรียดผมแล้วใช่ไหม ยังไงก็ตามผมขอบพระคุณอาจารย์ที่ดูแลตลอดมา ผมแค่ทำตามหน้าที่ แต่ไม่ได้ดูถูก ด่าคนไทยเลย ผมแค่บอก”
ข้อความนี้ดูเหมือนเป็นการขอความเข้าใจและการให้อภัย โดยพยายามยืนยันว่า การกระทำทั้งหมดเป็นเพียงการทำตามหน้าที่ในฐานะทหารของกัมพูชา มิใช่การตั้งใจลบหลู่ประเทศไทยหรือคนไทยโดยตรง
อาจารย์ผู้เคยดูแลตอบกลับอย่างสั้น ๆ ว่า
“ผมเข้าใจ”
แต่ทว่าฝ่ายเพจ Army Military Force กลับออกมาตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดเหล่านั้นเป็นเพียง “สตอว์” (โกหก) พร้อมย้ำว่า แม้ชายกัมพูชาจะบอกว่าไม่ได้ดูถูกคนไทย แต่ในความเป็นจริงกลับมีการ ดูถูกการศึกษาไทย และเล่าความจริงไม่หมด
ดราม่าที่บานปลาย: ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด?
ประเด็นนี้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
ฝ่ายหนึ่ง มองว่า แม้ชายกัมพูชาคนนี้จะได้รับการศึกษาและโอกาสจากประเทศไทย แต่การที่เขากลับไปจับปืนสู้กับทหารไทย คือการทรยศต่อแผ่นดินที่เคยอุปถัมภ์
อีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า เราไม่ควรตัดสินด้วยมุมมองเพียงด้านเดียว เพราะในมุมของเขา การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารกัมพูชาอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามที่ตามมาคือ “เขาพูดไม่หมดจริงหรือไม่?” และหากมีการดูถูกการศึกษาไทยจริง สิ่งนั้นสะท้อนถึงทัศนคติที่แท้จริงของเขาอย่างไร
มิติทางสังคมและการศึกษา
กรณีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องปัจเจกบุคคล แต่สะท้อนให้เห็นถึง ความซับซ้อนของการมอบโอกาสข้ามพรมแดน
การที่ประเทศไทยให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติ ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี แต่หากนักศึกษาคนนั้นกลับไปเลือกเส้นทางตรงข้าม ก็ย่อมสร้างบาดแผลทางใจแก่ผู้ให้
เหตุการณ์นี้ทำให้สังคมไทยตั้งคำถามว่า เราควร กลั่นกรองผู้รับทุน ให้มากกว่านี้หรือไม่ เพื่อป้องกันการนำโอกาสไปใช้ในทางที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เสียงสะท้อนจากโซเชียล
หลังโพสต์ของเพจ Army Military Force เผยแพร่ได้ไม่นาน ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น
หลายคนแสดงความโกรธและผิดหวัง บางรายถึงกับบอกว่า “คนไทยให้โอกาส แต่เขากลับเลือกทำร้าย”
ขณะเดียวกัน มีชาวเน็ตอีกกลุ่มหนึ่งพยายามมองในมุมที่สมดุลกว่า โดยบอกว่า “อย่าลืมว่าเขาคือทหารของกัมพูชา หน้าที่คือสิ่งที่บังคับ”
การถกเถียงนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่กลายเป็นดราม่าที่มีทั้งมิติของ ศรัทธา ความสัมพันธ์ และความภักดี
มิติความมั่นคงชายแดน
ในมุมของความมั่นคง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาที่ละเอียดอ่อนของชายแดนไทย–กัมพูชา การที่บุคคลผู้เคยได้รับการศึกษาในไทยกลับมาจับปืนเผชิญหน้ากับทหารไทย ไม่เพียงแต่กระทบต่อความรู้สึก แต่ยังสร้างคำถามถึง ความมั่นคงระยะยาว ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองประเทศควรดำเนินไปในทิศทางใด
บทสรุป
กรณีชายกัมพูชา อดีตนักศึกษาทุนราชภัฏสุรินทร์ ที่กลับไปบ้านเกิดและเข้าร่วมการปะทะชายแดนกับทหารไทย ได้กลายเป็น บทเรียนสังคมครั้งใหญ่
ในด้านหนึ่ง นี่คือเรื่องราวของ ความผิดหวัง ที่เกิดจากการมอบโอกาส แต่กลับถูกใช้ไปในทางที่สวนทางกับความหวัง
ในอีกด้านหนึ่ง ก็สะท้อนถึง ความซับซ้อนของบทบาทหน้าที่ ที่บางครั้งบุคคลอาจไม่สามารถเลือกได้อย่างอิสระ
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ เหตุการณ์นี้ได้จุดประกายให้สังคมไทยตั้งคำถามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การให้โอกาส การภักดีต่อแผ่นดิน และการพูดความจริง
ท้ายที่สุด ไม่ว่าใครจะพูดหมดหรือไม่หมด สิ่งสำคัญคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้เหตุผลและข้อมูลรอบด้านมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ปล่อยให้เพียงแค่คำกล่าวหาหรือคำแก้ตัวเพียงด้านเดียวกำหนดข้อสรุปของสังคมไทย
อ้างอิงจาก: เพจArmy Military Force















