องค์กรวิจัยสหรัฐฯ ชี้กัมพูชาควรถูกตำหนิฐานปลุกปั่นความขัดแย้ง แนะวอชิงตันยืนข้างไทย พันธมิตรเก่าแก่
มูลนิธิเฮอร์ริเทจ (Heritage Foundation) องค์กรวิจัยเชิงนโยบายชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่บทความล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุชัดว่า กัมพูชาควรถูกกล่าวโทษจากการปลุกปั่นความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และจากกรณีการยิงจรวดโจมตีพื้นที่พลเรือนของไทย ขณะเดียวกันยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ควรแสดงท่าทีสนับสนุนไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาอันแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนาน
บทความที่จัดทำโดย วิลสัน บีเวอร์ ที่ปรึกษาอาวุโวด้านนโยบายแห่งศูนย์อัลลิสันเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ระบุว่า ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อกว่า 5 วันได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงกรณีที่กัมพูชายิงจรวด BM-21 เข้าสู่ดินแดนไทย ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 14 ราย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การตอบโต้ด้วยปฏิบัติการทางอากาศของไทย โดยใช้ทั้ง F-16 ผลิตจากสหรัฐฯ และ กริพเพน JAS-39 ของสวีเดน เข้าถล่มเป้าหมายทางทหารในกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 38 ราย และประชาชนหลายแสนต้องพลัดถิ่น
บทความย้ำว่า กัมพูชามีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงใกล้ชิดกับจีนและเกาหลีเหนือ อีกทั้งยังอนุญาตให้จีนเข้าถึงฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้ปักกิ่งขยายอิทธิพลทางทหารในอ่าวไทยและภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก ขณะที่กัมพูชาเคยปฏิเสธข้อเสนอความร่วมมือจากสหรัฐฯ และถึงขั้นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่อเมริกาให้ทุนสนับสนุนในพื้นที่ฐานทัพแห่งนี้
ในทางตรงกันข้าม บทความได้ชี้ให้เห็นถึง ความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ภายใต้สนธิสัญญามะนิลา 1954 รวมถึงการเป็นพันธมิตรนอกนาโตมาตั้งแต่ปี 2003 ไทยยังคงใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์อินโด–แปซิฟิก โดยเฉพาะการเป็นเจ้าภาพการซ้อมรบ คอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) ซึ่งถือเป็นการซ้อมรบร่วมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
มูลนิธิเฮอร์ริเทจเสนอว่า สหรัฐฯ ควรตระหนักถึงพันธมิตรตามสนธิสัญญาที่มีอยู่แล้ว เช่น ไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ รวมถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไต้หวัน แทนที่จะมุ่งเน้นสร้างพันธมิตรใหม่เพียงเพื่อถ่วงดุลจีน
บทความปิดท้ายด้วยการระบุว่า แม้ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาจะยุติลงได้อย่างรวดเร็ว แต่สหรัฐฯ ควรใช้โอกาสนี้เปิดทางเลือกใหม่ให้กับพนมเปญในการหันเหออกห่างจากจีน ขณะเดียวกันก็ต้อง ยืนหยัดเคียงข้างไทย ในฐานะพันธมิตรดั้งเดิมที่ให้ความร่วมมือทางการทหารและการเมืองมาตลอดหลายทศวรรษ เพื่อปกป้องเสถียรภาพและผลประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก
(ที่มา:The Heritage Foundation)


















