เปิดรายละเอียดค่าต่อสู้คดีแพทองราร พร้อมเทคนิคเจรจาชั้นสูง
แพทองธาร ชินวัตร ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ปมคลิปเสียงชุนเซน ยืนยันเป็น “เทคนิคการเจรจาเพื่อผลประโยชน์ชาติ”
ใกล้เข้ามาอย่างต่อเนื่องสำหรับการไต่สวนคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดนัดไต่สวนในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 นี้ ซึ่งถือเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายจับตามอง
ล่าสุด สำนักข่าวอิศราได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ คำชี้แจงของน.ส.แพทองธาร ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยเธอได้ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง พร้อมอธิบายว่า ทุกถ้อยคำในคลิปเสียงดังกล่าวเป็นเพียง “เทคนิคการเจรจา” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ และไม่ได้มีเจตนาเป็นไปในทางที่ไม่เหมาะสม
เจาะประเด็นคลิปเสียง – “อยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจัดการให้”
ในคำชี้แจงต่อศาล น.ส.แพทองธารได้อธิบายประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า การพูดว่า
"อยากได้อะไรก็บอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้"
นั้น เป็นเพียง เทคนิคการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยมีเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาเสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน เพื่อให้การเจรจาสามารถค้นหาความต้องการที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไม่ได้หมายความว่าตนจะยอมรับหรือดำเนินการตามเงื่อนไขทุกข้อแต่อย่างใด
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธารยังยกตัวอย่างกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซนเสนอให้ไทยเปิดด่านก่อน เธอได้ตอบสวนว่า ให้เปิดพร้อมกัน แต่ไม่ได้รับการตอบรับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีการโอนอ่อนตามข้อเสนอของคู่เจรจา
ชี้แจงกรณี “มทภ.2 คิดฝั่งตรงข้าม”
ประเด็นหนึ่งที่ถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากคือคำพูดในคลิปที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโทบุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม”
น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า การใช้คำพูดดังกล่าวเป็น เทคนิคการเจรจาที่เรียกว่า “การแบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล” โดยในช่วงนั้นได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน กำลังไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 ในระดับส่วนตัว
การสื่อสารในลักษณะนี้จึงเป็น การสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ และเพื่อให้สามารถเจรจาต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายความมั่นคง ซึ่งต่อมาน.ส.แพทองธารได้กล่าวขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่ได้มีปัญหาใด ๆ ตามมา
การยื่นพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ
เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน น.ส.แพทองธารได้ยื่น บัญชีพยานผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ราย แต่ศาลอนุญาตให้ไต่สวนเพียง 1 ปากเท่านั้น
รายชื่อพยานประกอบด้วย:
1. นายฉัตรชัย บางขวด – เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และเป็นผู้ทราบเจตนาแท้จริงของน.ส.แพทองธารในการสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน
2. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ – ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
3. พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ – ข้าราชการบำนาญ ผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทำงานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และเคยร่วมงานกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
4. พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร – รองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ผู้ชำนาญด้านกฎหมายความมั่นคงของทหารและเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
5. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ – อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์ และรัสเซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ
แม้ว่าศาลจะรับไต่สวนเพียง 1 ปาก แต่การยื่นรายชื่อพยานเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของน.ส.แพทองธารในการ ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนและรอบด้าน
ความสำคัญของการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์
การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับสมเด็จฯ ฮุน เซนในคลิปเสียง ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของ การเจรจาเชิงยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์
การใช้เทคนิคการเจรจาเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของคู่เจรจา
การสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ แม้คู่เจรจามีความไม่พอใจหรือความเห็นต่าง
การแยกปัญหาออกจากบุคคลเพื่อให้สามารถดำเนินการเจรจาได้อย่างราบรื่น
นี่แสดงให้เห็นว่า การตีความคลิปเสียงโดยไม่เข้าใจบริบททางการทูตและความมั่นคง อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
บทสรุป
การชี้แจงของน.ส.แพทองธารต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการยืนยันเจตนาบริสุทธิ์และความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าคลิปเสียงจะถูกตีความแตกต่างกันในสังคมออนไลน์
การใช้เทคนิคการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ และการสร้างบรรยากาศความไว้วางใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อน ถือเป็น บทเรียนสำคัญในด้านการทูตและความมั่นคง
คดีนี้ยังคงติดตามต่อเนื่อง และนัดไต่สวนครั้งต่อไปในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้น.ส.แพทองธารได้ ชี้แจงข้อเท็จจริงและบริบทอย่างเต็มที่




















