ลุยสอบย้อนหลัง 20 ปี บิ๊กเต่าชี้เส้นทางเงินวัดพระบาทน้ำพุมีพิรุธ

บิ๊กเต่า พบพิรุธวัดพระบาทน้ำพุ ลุยสอบเส้นทางการเงินย้อนหลัง 20 ปี

มหากาพย์ดราม่าเกี่ยวกับเงินบริจาคของ วัดพระบาทน้ำพุ และกรณีของ หมอบี ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องนี้สะท้อนถึงความศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันทางศาสนา การตรวจสอบเส้นทางการเงินและการบริหารจัดการของวัด จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สังคมต้องการคำตอบ

ล่าสุด พล.ต.ต.จรูญ เกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ได้เปิดเผยความคืบหน้าในการสอบสวนว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้พบ ความผิดปกติ ในการบริหารจัดการของวัดพระบาทน้ำพุ และเตรียมขยายผลการสอบสวนย้อนหลัง 20 ปี เพื่อให้เห็นภาพรวมของการไหลเวียนเงินบริจาค

 

การตรวจสอบย้อนหลัง 20 ปี

รอง ผบช.ก. ระบุว่า การสอบสวนครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะกรณีของ หมอบี เท่านั้น แต่จะครอบคลุมถึง การบริหารเงินบริจาคทั้งหมด ตั้งแต่ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีเงินบริจาคมหาศาลไหลเข้าวัดหลายช่องทาง

"การที่หลวงพ่อทำความดีเรื่องโรคเอดส์ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ภายหลังพอมียอดเงินมหาศาลไหลไปหลายช่องทาง เราก็ต้องกลับไปทบทวนหาข้อเท็จจริงว่าช่วง 10-20 ปีหลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง" บิ๊กเต่ากล่าว

การตรวจสอบย้อนหลังนี้ถือเป็นจุดสำคัญ เพราะเงินบริจาคจำนวนมากที่ไหลเข้าวัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจซ่อนความผิดปกติที่ยังไม่ถูกเปิดเผย และอาจเกี่ยวข้องกับ การทุจริตหรือการบริหารที่ไม่โปร่งใส

 

คำให้การของหมอบีและเลขาฯ

ความคืบหน้าของคดี หมอบี เป็นอีกหนึ่งจุดที่เจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญ โดยปัจจุบันมี คำให้การของหมอบีและเลขาฯ วัด ที่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยบิ๊กเต่ากล่าวว่า

 "ถ้าเราวิเคราะห์จากพยานหลักฐาน ก็หมิ่นเหม่ในข้อกฎหมาย"

แม้จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่ามีความผิดชัดเจนในประเด็นใด แต่คำให้การเหล่านี้ช่วยเปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่สามารถ ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และความเกี่ยวข้องของบุคคลต่าง ๆ ภายในวัดได้

 

การไหลของเงินบริจาคและความกังวลของสังคม

ปัญหาหลักที่ทำให้สังคมตั้งคำถามคือ ยอดเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ที่ไหลเข้าสู่วัดพระบาทน้ำพุในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางได้อย่างชัดเจน การใช้เงินหลายช่องทางและความซับซ้อนของการบริหาร ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจมีการจัดการที่ไม่โปร่งใส หรือมีการใช้เงินในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง

ประชาชนจำนวนมากแสดงความกังวลและเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อ สร้างความเชื่อมั่นกลับคืนสู่สังคม และทำให้การบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศลเป็นไปอย่างโปร่งใส

ขั้นตอนการสอบสวนและมาตรการของตำรวจ

พล.ต.ต.จรูญ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออก หมายเรียกหรือหมายจับ ใด ๆ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องการรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ก่อน ซึ่งการดำเนินการนี้ถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะตอบคำถามของสังคมได้ทุกประเด็น

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตรวจสอบหลายด้าน ได้แก่

1. การตรวจสอบบัญชีเงินบริจาคย้อนหลัง เพื่อดูว่าเงินไหลไปทางใดบ้าง

2. การสอบถามคำให้การของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น หมอบี, เลขาฯ และเจ้าหน้าที่วัด

3. การตรวจสอบเอกสารการบริหารจัดการวัด ว่ามีความผิดปกติหรือไม่

4. การวิเคราะห์เส้นทางการเงิน เพื่อดูว่ามีการโอนเงินผ่านช่องทางที่ถูกต้องหรือไม่

บิ๊กเต่ากล่าวเพิ่มเติมว่า การสอบสวนครั้งนี้จะไม่หยุดแค่การตรวจสอบเงินบริจาคในปัจจุบัน แต่จะ ย้อนกลับไปดูการบริหารจัดการในอดีตหลายปี เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้เงินทั้งหมด

 

ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

ดราม่าเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุและกรณีหมอบี ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันทางศาสนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่เคยบริจาคเงินเพื่อ การกุศลและช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินบริจาคเหล่านั้นถูกใช้ไปในทางที่เหมาะสมหรือไม่

การเปิดเผยความจริงและความโปร่งใสในการบริหารเงินบริจาค จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ประชาชน มั่นใจว่าการช่วยเหลือสังคมเป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่มีการนำเงินไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย

 

ความคาดหวังต่อการสอบสวน

สังคมต่างจับตาการสอบสวนครั้งนี้อย่างใกล้ชิด และคาดหวังให้เจ้าหน้าที่สามารถ เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างชัดเจน บิ๊กเต่ากล่าวทิ้งท้ายว่า

 "คดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว และขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงานอีกไม่นาน ความจริงทั้งหมดจะปรากฏอย่างแน่นอน"

คำพูดนี้สะท้อนถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการ รวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบด้าน และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

 

สรุป

กรณีวัดพระบาทน้ำพุและหมอบี เป็นอีกหนึ่งมหากาพย์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ ความโปร่งใสในการบริหารจัดการเงินบริจาค การสอบสวนย้อนหลัง 20 ปีของตำรวจถือเป็นการตรวจสอบอย่างรอบด้าน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการไหลเวียนเงินและป้องกันการทุจริต

 

คำให้การของหมอบีและเลขาฯ วัดถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเปิดเผยข้อเท็จจริง และแม้จะยังไม่มีหมายเรียกหรือหมายจับ แต่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบหลายช่องทาง เพื่อให้สังคมได้รับคำตอบที่ชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประชาชน

 

เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับ วัดและหน่วยงานศาสนา แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ประชาชนและผู้บริจาคเงินบริจาค ตรวจสอบเส้นทางการใช้เงินและความโปร่งใส ก่อนตัดสินใจสนับสนุนการกุศลในอนาคต