จับตา 4 เส้นทางรายได้ ‘หมอบี’ เงินไม่ผ่านธนาคารก็สืบเจอ
“สังคมเงินสดไม่แปลก” วาทะฮือฮาของ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” กับประเด็นร้อนการตรวจสอบรายได้ และ 4 ช่องทางตามรอยจากกรมสรรพากร
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา วงการโซเชียลและสื่อมวลชนกำลังจับตาไปที่ประเด็นร้อนของ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” หลังจากปรากฏตัวในรายการชื่อดัง โหนกระแส ที่มี หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นพิธีกร และได้ตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินของตนเอง
สิ่งที่กลายเป็นจุดโฟกัสของสังคม คือคำกล่าวของหมอบีที่ว่า
“มันเป็นเรื่องปกติ สังคมเงินสดมันก็ไม่แปลกอะไร”
แม้ในมุมมองของเจ้าตัวจะมองว่าการใช้เงินสดในการทำธุรกรรมเป็นเรื่องปกติสำหรับตนและครอบครัว แต่ในทาง กฎหมายภาษี การใช้เงินสดจำนวนมากโดยไม่มีเส้นทางการโอนผ่านระบบธนาคาร กลับเป็นประเด็นที่อาจนำไปสู่การตรวจสอบอย่างจริงจังจากหน่วยงานรัฐ
จุดเริ่มต้นของคำถาม
เหตุการณ์นี้เริ่มจากช่วงหนึ่งของรายการที่ หนุ่ม กรรชัย ถามหมอบีว่า ทำไมจึงทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดด้วยเงินสด ไม่ใช้การโอนผ่านบัญชีธนาคารเลย ซึ่งคำตอบของหมอบีก็คือ เพราะครอบครัวของเขาใช้เงินสดเป็นหลัก และในความคิดของเขา “สังคมเงินสด” ก็ไม่ได้แปลก
แต่เมื่อพิธีกรพยายามต่อยอดคำถามไปยังประเด็นว่า
การชำระค่าบ้านมูลค่า 30 ล้านบาทนั้น
ต้องนำเงินสดไปฝากธนาคารเพื่อโอนให้ผู้รับเหมาหรือไม่
หรือใช้วิธีการอย่างไร
หมอบียังคงยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องปกติในชีวิตของเขา
ประเด็นย้อนแย้งที่ถูกจับตา
หนุ่ม กรรชัย ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมคำให้สัมภาษณ์ของหมอบีในแต่ละครั้งจึงดูไม่เหมือนกัน หรือมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดอยู่เสมอ ซึ่งหมอบีก็ตอบกลับว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกและการอธิบายที่อาจแตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาพูดขัดแย้งกับตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่สังคมเริ่มตั้งคำถามไม่ใช่เพียงความสอดคล้องของคำพูด แต่คือ ความโปร่งใสทางการเงิน และความเป็นไปได้ที่กรมสรรพากรอาจเข้ามาตรวจสอบ
สรรพากรจะรู้ได้อย่างไร หากไม่ได้โอนเงินผ่านธนาคาร?
คำถามนี้เป็นหัวใจของประเด็น เพราะหลายคนเชื่อว่าถ้าใช้เงินสดทั้งหมด หน่วยงานภาษีจะตามรอยได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว กรมสรรพากรมีเครื่องมือและช่องทางตรวจสอบหลากหลาย ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลรายได้ของบุคคล แม้จะไม่ได้ทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคารโดยตรง
จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ปัจจุบันมีกลไกหลัก ๆ ที่สามารถใช้ติดตามและตรวจสอบรายได้จากเงินสดอยู่ 4 ช่องทางสำคัญ ได้แก่
1. กฎหมายภาษี e-Payment
แม้ผู้ใช้จะอ้างว่าใช้เงินสด แต่ถ้าบัญชีธนาคารมีการ ฝากเงินหรือรับโอน ที่เข้าข่ายเกณฑ์ต่อไปนี้
จำนวนครั้ง ตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป หรือ
จำนวนครั้งตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไป และ มียอดรวมเกิน 2,000,000 บาทต่อปี
สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลไปยังกรมสรรพากร เพื่อใช้ในการตรวจสอบ โดยกฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีผ่านธุรกรรมที่ซอยย่อยหรือใช้หลายบัญชี
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ในกรณีที่บุคคลใดรับเงินสดเป็นค่าจ้าง ค่าบริการ หรือค่าตอบแทนจากบริษัทหรือองค์กรธุรกิจ ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งข้อมูลพร้อมระบุชื่อ-นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้รับเงินให้กรมสรรพากร
แม้ว่าการจ่ายเงินจะเป็นเงินสด แต่ข้อมูลที่ถูกส่งต่อก็สามารถทำให้สรรพากรตรวจสอบได้ว่า ใครคือผู้รับรายได้ และจำนวนเงินเท่าไหร่
3. การสุ่มตรวจจากโซเชียลมีเดีย
ในยุคดิจิทัล กรมสรรพากรมีทีมงานเฉพาะด้านในการตรวจสอบข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น
การไลฟ์สดขายของ
การโพสต์โชว์เงินหรือสินทรัพย์
การประกาศรับจองบริการหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง
หากพบว่ามีรายรับจำนวนมาก แต่ไม่มีการยื่นภาษีที่สอดคล้อง ก็สามารถเรียกมาตรวจสอบได้ และในหลายกรณี การโพสต์ในโซเชียลมีเดียนี่เองเป็นหลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การประเมินภาษีย้อนหลัง
4. การสืบค้นข้อมูลจากหน่วยงานอื่นและเครือข่ายธุรกิจ
กรมสรรพากรยังสามารถฝประสานงานกับหน่วยงานรัฐและเอกชนอื่น ๆ เพื่อสืบค้นเส้นทางรายได้ เช่น
การตรวจสอบจากสำนักงานที่ดิน กรณีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
การตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หากมีการจดทะเบียนบริษัท
การเชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกจากกรมศุลกากร
การตรวจสอบสัญญาหรือหลักฐานการจ่ายเงินจากคู่สัญญาธุรกิจ
ช่องทางเหล่านี้ช่วยให้การใช้เงินสดจำนวนมากไม่ได้หมายความว่าจะ “หายตัว” จากระบบภาษีได้
มิติทางสังคม: ความเชื่อกับกฎหมาย
กรณีของหมอบีสะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่าง มุมมองส่วนบุคคลต่อการใช้เงินสด และ ข้อกำหนดทางกฎหมาย ในสายตาของบางคน การใช้เงินสดอาจเป็นเรื่องของความสะดวก ความเชื่อ หรือวัฒนธรรมทางการใช้เงินในครอบครัว แต่ในมุมของรัฐ การใช้เงินสดจำนวนมากโดยไม่มีเส้นทางการโอนผ่านระบบธนาคารอาจเป็นสัญญาณของการหลีกเลี่ยงภาษี หรือการทำธุรกรรมที่ต้องตรวจสอบ
ทำไมเรื่องนี้ถึงได้รับความสนใจมาก?
เหตุผลหลักมาจาก บริบทดราม่าเรื่องเงินบริจาค ที่หมอบีเกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้สังคมตั้งคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับรายได้และความโปร่งใส การที่หมอบีตอบในรายการว่ากรมสรรพากร “จะรู้ได้ยังไง” ยิ่งจุดประกายให้ผู้คนถกเถียงกันในวงกว้าง
สรุป
วาทะ “สังคมเงินสดไม่แปลก” ของหมอบีอาจฟังดูสมเหตุสมผลในแง่ความเชื่อส่วนตัว แต่ในระบบภาษีและกฎหมาย การใช้เงินสดจำนวนมากไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยที่ไม่มีใครตามรอยได้ ปัจจุบันกรมสรรพากรมีทั้งเครื่องมือทางเทคโนโลยี กฎหมาย และการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน ที่สามารถตรวจสอบรายได้แม้จะไม่ผ่านระบบธนาคารโดยตรง
กรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่ทำให้สังคมหันมาสนใจว่า ความโปร่งใสทางการเงิน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เงินสดหรือโอนผ่านธนาคาร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรายื่นและชำระภาษีตามกฎหมายหรือไม่






