ด่วน! ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ประกาศลดดอกเบี้ยเหลือ 0% สู้เงินเฟ้อต่ำ-เงินฟรังก์แข็งค่า
ด่วน! ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ประกาศลดดอกเบี้ยเหลือ 0% สู้เงินเฟ้อต่ำ-เงินฟรังก์แข็งค่า
ซูริก, 19 มิถุนายน 2025 – เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) ลง 0.25% จากระดับ 0.25% มาอยู่ที่ 0.0% โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและค่าเงินฟรังก์สวิสที่ยังคงแข็งค่า
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในการประชุมนโยบายการเงินประจำไตรมาสล่าสุด โดย SNB ให้เหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ:
-
อัตราเงินเฟ้อลดลงสู่แดนลบ: แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสวิตเซอร์แลนด์ได้ลดลงอย่างชัดเจนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2568 อัตราเงินเฟ้อติดลบครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่ -0.1% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของ SNB ที่ต้องการให้อยู่ในกรอบ 0-2% ทางธนาคารกลางคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะอยู่ที่เพียง 0.2% เท่านั้น การลดดอกเบี้ยจึงเป็นมาตรการเพื่อกระตุ้นให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
-
ค่าเงินฟรังก์สวิสแข็งค่า: แม้ไม่ได้กล่าวโดยตรง แต่เป็นที่เข้าใจกันว่าค่าเงินฟรังก์ (CHF) ที่แข็งค่ายังคงเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทำให้สินค้าส่งออกมีราคาสูงขึ้นในตลาดโลก และทำให้สินค้านำเข้ามีราคาถูกลง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ การลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดแรงดึงดูดของเงินฟรังก์และอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของสกุลเงินได้
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
- กระตุ้นเศรษฐกิจ: อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งอาจกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ
- ค่าเงินฟรังก์อาจอ่อนค่าลง: ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและกลุ่มยูโรโซน อาจลดความน่าสนใจในการถือครองเงินฟรังก์ และส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
- ตลาดการเงิน: การเคลื่อนไหวของ SNB ในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำทิศทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายสวนทางกับธนาคารกลางหลักอื่นๆ ที่ยังคงดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์มองว่า SNB อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต หากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและแรงกดดันต่อเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า SNB พร้อมที่จะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
การที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0% ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายมิติ ทั้งต่อเศรษฐกิจโลก, ราคาทองคำ และแน่นอนว่ารวมถึงประเทศไทยด้วย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
- ตอกย้ำทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่าง (Policy Divergence): ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงต่อสู้กับเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและอาจคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไป การที่ SNB ลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 0% ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเศรษฐกิจที่แตกต่างกันชัดเจน SNB กังวลเรื่อง "เงินฝืด" และเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่า "เงินเฟ้อ" ซึ่งภาพที่แตกต่างกันนี้อาจสร้างความผันผวนในตลาดปริวรรตเงินตรา (Forex) ได้
- สงครามค่าเงิน (Currency Wars): การลดดอกเบี้ยมีเป้าหมายหนึ่งเพื่อทำให้อัตราผลตอบแทนในการถือครองเงินฟรังก์สวิส (CHF) ลดลง และกดดันให้ค่าเงินอ่อนตัวเพื่อช่วยภาคการส่งออก การกระทำนี้อาจกดดันให้ประเทศอื่นๆ ที่พึ่งพาการส่งออกเช่นกันต้องพิจารณานโยบายค่าเงินของตนเอง เพื่อไม่ให้เสียเปรียบในการแข่งขัน
- กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital Flows): เมื่อผลตอบแทนในสวิตเซอร์แลนด์ลดลงจนเป็นศูนย์ นักลงทุนอาจเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสินทรัพย์หรือประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งตลาดหุ้นหรือพันธบัตรในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets)
ผลกระทบต่อทองคำ
โดยทั่วไปแล้ว การลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะจากธนาคารกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ถือเป็น "ปัจจัยบวก" ต่อราคาทองคำ ด้วยเหตุผลดังนี้:
- ลดต้นทุนค่าเสียโอกาส (Lower Opportunity Cost): ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย เมื่ออัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินลดลง (โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ศูนย์) การถือครองสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ย เช่น พันธบัตรหรือเงินฝาก ก็จะให้ผลตอบแทนน้อยลง ทำให้การถือครองทองคำน่าสนใจขึ้นโดยเปรียบเทียบ
- สถานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Status): การที่ SNB ลดดอกเบี้ยสะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น เมื่อนักลงทุนกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก พวกเขามักจะหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่ง "ทองคำ" คือหนึ่งในนั้น
- เงินฟรังก์สวิสอาจอ่อนค่า: โดยปกติแล้ว เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ราคาทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้น ในกรณีนี้ หากการลดดอกเบี้ยทำให้เงินฟรังก์สวิสอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ อาจไม่ได้ส่งผลบวกต่อทองคำโดยตรง แต่ปัจจัยสำคัญกว่าคือภาพรวมของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ลดต่ำลงและความกังวลต่อเศรษฐกิจ
ดังนั้น แนวโน้มหลักคือ ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น จากการตัดสินใจของ SNB ในครั้งนี้
ผลกระทบต่อประเทศไทย
ผลกระทบต่อไทยสามารถมองได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม:
ผลกระทบทางตรง:
- การค้าและการลงทุน: สวิตเซอร์แลนด์เป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย ข้อมูลจาก OEC ในปี 2023 พบว่าการค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่าสูง และน่าสนใจว่า "ทองคำ" เป็นสินค้าส่งออกและนำเข้าหลักระหว่างกัน การเปลี่ยนแปลงค่าเงินฟรังก์อาจส่งผลต่อมูลค่าการค้าในส่วนนี้ รวมถึงสินค้าอื่นๆ เช่น นาฬิกา, เครื่องประดับ, และเวชภัณฑ์ หากเงินฟรังก์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท อาจทำให้สินค้านำเข้าจากสวิสฯ มีราคาถูกลง ในทางกลับกัน สินค้าไทยจะดูแพงขึ้นในสายตาชาวสวิส
- การท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวชาวสวิสเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูง หากเงินฟรังก์อ่อนค่าลง อาจส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทยได้เล็กน้อย อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านการท่องเที่ยวมีหลายมิติมากกว่าแค่เรื่องค่าเงิน
ผลกระทบทางอ้อม:
- แรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): การที่ธนาคารกลางสำคัญของโลกยังคงลดดอกเบี้ย ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเองก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อาจสร้างแรงกดดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยต้องพิจารณา "คง" หรือ "ลด" อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในอนาคต เพื่อไม่ให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกว้างเกินไปจนดึงดูดเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น (Hot Money) มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เงินบาทแข็งค่าและกระทบต่อภาคการส่งออก
- เงินทุนไหลเข้า: หากนักลงทุนมองหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นและเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดทุนของไทยอาจเป็นหนึ่งในเป้าหมาย ทำให้มีโอกาสที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทยมากขึ้นในระยะสั้น
โดยสรุป การตัดสินใจของ SNB เป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลดีต่อราคาทองคำ และอาจสร้างแรงกดดันเชิงนโยบายต่อ ธปท. ของไทย ขณะเดียวกันก็อาจนำมาซึ่งกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดทุนไทยในระยะสั้นได้














