“กัน จอมพลัง” ลุยแนวหน้า! ส่งเกราะกัน AK-สไนเปอร์ เสริมแกร่ง ตชด.
"กัน จอมพลัง" ส่งมอบเกราะกันกระสุนเลเวล 4 รุ่นใหม่ให้ ตชด. ย้ำภารกิจเพื่อคนแนวหน้า – ไม่ขอรอระบบ ขอทำเลย เพื่อชีวิตคนไทย
วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการลงมือทำโดยไม่รอระบบราชการ เมื่อ "กัน จอมพลัง" หรือชื่อจริงที่คนไทยคุ้นเคยในฐานะผู้มีบทบาทในการช่วยเหลือผู้คนในภาคสนาม ได้โพสต์อัปเดตภารกิจล่าสุดผ่านโซเชียลมีเดียของตนเอง เกี่ยวกับการส่งมอบ เกราะกันกระสุนเลเวล 4 รุ่นใหม่ล่าสุด ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายแดนของประเทศไทย
การส่งมอบครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจัดหาอุปกรณ์เท่านั้น แต่สะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของคนหนึ่งคน ที่เห็นคุณค่าของชีวิตแนวหน้า และยอมทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และเงินทุนส่วนตัว เพื่อให้คนทำงานจริง ๆ ได้รับการปกป้องอย่างที่ควรจะเป็น
เกราะเลเวล 4 ที่ "กัน จอมพลัง" จัดหา – ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
จากโพสต์ของ "กัน จอมพลัง" ระบุชัดเจนว่า เกราะกันกระสุนรุ่นใหม่นี้มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากของเดิมอย่างมาก โดยสามารถ กันกระสุนปืน AK และแม้กระทั่งสไนเปอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าหน้าที่แนวหน้า เพราะพื้นที่ที่พวกเขาปฏิบัติการอยู่นั้นมีความเสี่ยงสูงและต้องเผชิญกับอาวุธร้ายแรงอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเกราะรุ่นเก่าแล้ว ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า เกราะชุดนี้มีอายุการใช้งานนานถึง 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว หากพิจารณาจากความปลอดภัยที่มอบให้กับผู้สวมใส่
“ตอนนี้มั่นใจมากขึ้น” – คำบอกเล่าจากปาก ตชด. ผู้ได้รับเกราะ
หลังการส่งมอบเสร็จสิ้น "กัน จอมพลัง" เผยว่าเจ้าหน้าที่ ตชด. ที่ได้รับเกราะต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ตอนนี้มั่นใจมากขึ้น” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงจิตวิทยาที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าด้านความปลอดภัยทางกายภาพ
เจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานภายใต้ความกดดันและความไม่แน่นอนตลอดเวลา หากได้รับอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ ย่อมส่งผลต่อขวัญกำลังใจโดยตรง และอาจหมายถึง ความแตกต่างระหว่างความเป็นกับความตาย
“ไม่ต้องติดระบบ ไม่ต้องเข้าขบวนการ ทำทันที” – แนวคิดแบบภาคประชาชนที่ได้ผลจริง
หนึ่งในข้อความที่ทรงพลังที่สุดจากโพสต์ของ "กัน จอมพลัง" คือแนวคิดที่ว่า
“สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดคือ ไม่ต้องติดระบบขั้นตอน ไม่ต้องเข้าขบวนการอะไรทั้งนั้น ทำทันที ได้ผล เร็ว คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ”
ข้อความนี้สะท้อนให้เห็นถึง จุดอ่อนของระบบราชการไทย ที่มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล่าช้า มีขั้นตอนมาก และขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่ภาคประชาชนหรือเอกชนรายย่อยที่มีเจตนาดี มักจะสามารถดำเนินการได้รวดเร็วกว่าโดยไม่ต้องรอการอนุมัติหลายขั้น
“กัน จอมพลัง” จึงกลายเป็นตัวแทนของ “คนลงมือทำ” ที่ไม่ยอมปล่อยให้ปัญหาความไม่ปลอดภัยของเจ้าหน้าที่แนวหน้าถูกปล่อยปละละเลย
ชีวิตหนึ่งมีค่าเกินกว่าตัวเลข – 1 ล้านบาท เพื่อ 1 ชีวิต
กันยังกล่าวอีกว่า
“เงินล้านกว่าบาทที่ใช้จัดหา คุ้มค่าทุกบาท หากช่วยชีวิตใครได้แม้แต่คนเดียว”
ประโยคนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันเตือนให้เราย้อนกลับไปคิดว่า เงินจำนวนมากอาจมีค่าเพียงน้อยนิด หากเทียบกับชีวิตของผู้ที่อยู่แนวหน้าเพื่อเราทุกวัน
ในขณะที่งบประมาณของภาครัฐบางครั้งถูกใช้อย่างไม่คุ้มค่า หรือถูกใช้ไปในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชน “กัน จอมพลัง” กลับเลือกที่จะนำเงินของตนเองไปใช้เพื่อจุดประสงค์ที่มีความหมายสูงสุด — ปกป้องชีวิต
ฝากถึงหน่วยงานอื่น: "ผมกำลังเร่งจัดการเพิ่มให้ครับ"
กันยังฝากข้อความถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่ยังรอรับเกราะในลอตต่อไปว่า
“ผมกำลังเร่งจัดการเพิ่มให้ครับ”
ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้ยังไม่หยุดเพียงแค่ลอตแรก และยังคงดำเนินต่อไปเพื่อครอบคลุมเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ทั่วประเทศ นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่ “ข่าวชั่วคราว” แต่เป็น “ภารกิจระยะยาว” ที่ต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่าย
สังคมควรคิดต่อ: ทำไมความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานต้องรอคนใจบุญ?
แม้จะรู้สึกชื่นชมและขอบคุณในความเสียสละของ “กัน จอมพลัง” แต่ก็ไม่อาจละเลยคำถามที่ว่า
“เหตุใดความปลอดภัยพื้นฐานของเจ้าหน้าที่แนวหน้าจึงยังต้องรอการช่วยเหลือจากภาคเอกชนหรือบุคคล?”
หากภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้จริง งบประมาณและการจัดหาอุปกรณ์ควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่ปล่อยให้บุคคลภายนอกต้องเร่งช่วยในยามฉุกเฉินเช่นนี้
นี่คือสิ่งที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างจริงจังในระดับนโยบาย เพราะชีวิตของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ควรขึ้นอยู่กับ “น้ำใจ” ของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง
พลังของการลงมือทำ อยู่เหนือทุกระบบ
เรื่องราวของ “กัน จอมพลัง” ในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก การลงมือทำ โดยไม่รอให้ระบบขยับก่อน เป็นแบบอย่างที่สังคมไทยควรยกย่องและศึกษาเพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบร่วม
การช่วยเหลือแนวหน้าไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะด้วยการบริจาค สนับสนุน หรือเพียงแค่ส่งกำลังใจให้กับคนที่กำลังอยู่ด่านหน้า เพื่อให้พวกเขารู้ว่า…พวกเขาไม่ได้สู้อยู่คนเดียว












