อดีตนักการเมืองเขมรปั่นกระแส! ชวนแรงงาน 2 ล้านกลับบ้าน แต่งานมีแค่ 2.3 แสน ไทยสะเทือนแน่?
ย้อนแย้งหรือแค่เกมการเมือง? สม รังสี ประกาศกร้าว เรียกแรงงาน 2 ล้านชีวิตกลับกัมพูชา ด้านรัฐกัมพูชาเบรกแรง งานมีแค่ 2.3 แสนตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 โลกออนไลน์และสื่อในภูมิภาคต่างจับตาไปที่ถ้อยแถลงของ “สม รังสี” อดีตนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญของกัมพูชา ซึ่งออกมาประกาศอย่างแข็งกร้าว เรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 2 ล้านคน เดินทางกลับบ้านเกิด โดยให้เหตุผลว่า “ไม่ต้องง้อไทย ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น” จุดกระแสชาตินิยมเต็มขั้น
ทว่าเพียงไม่นาน กระทรวงแรงงานของกัมพูชาเองกลับออกมาสวนทันควัน ด้วยข้อมูลเชิงลึกว่า “ปัจจุบันตำแหน่งงานว่างทั่วประเทศมีเพียง 230,000 อัตรา” เท่านั้น เป็นการตบหน้าข้อเรียกร้องดังกล่าวอย่างจัง และก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า แท้จริงแล้วข้อเสนอของสม รังสีเป็นแนวคิดเพื่อชาติกำลังพัฒนา หรือเป็นเพียง “เกมการเมือง” ที่เสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของทั้งกัมพูชาและไทย?
แรงงานกัมพูชาในไทย: แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ถูกมองข้าม
แรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะชาวกัมพูชา ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง เกษตรกรรม อุตสาหกรรมประมง โรงงานแปรรูปอาหาร ไปจนถึงแรงงานบริการในภาคครัวเรือน เช่น แม่บ้านหรือพี่เลี้ยงเด็ก
ตัวเลขประมาณการแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยอยู่ที่ราว 2 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ เช่น สมุทรสาคร ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง และกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากเกิดการอพยพกลับประเทศจำนวนมหาศาลอย่างที่สม รังสีเรียกร้องจริง จะเกิด “ผลกระทบเป็นลูกโซ่” ที่ไม่อาจประเมินได้ง่าย
วิเคราะห์ผลกระทบฝั่งไทย หากแรงงานกัมพูชากลับประเทศพร้อมกัน
1. ภาคเศรษฐกิจหลายส่วนขาดแคลนแรงงานทันที
ภาคก่อสร้างจะต้องหยุดชะงัก เพราะพึ่งพาแรงงานต่างด้าวจำนวนมากในการแบกหาม เทปูน ก่ออิฐ
ภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะสวนผลไม้และแปลงผักในภาคตะวันออกและภาคกลางจะเผชิญกับวิกฤติแรงงาน
โรงงานผลิตอาหารแปรรูป และโรงงานขนาดกลางและเล็ก (SMEs) จะต้องปรับตัวทันที หรือเสี่ยงปิดกิจการ
2. ค่าจ้างแรงงานจะพุ่งขึ้น
เนื่องจากแรงงานไทยมีจำนวนจำกัด และไม่เพียงพอรองรับตลาดงานที่ว่างลงโดยทันที นายจ้างจะต้องเพิ่มค่าจ้างเพื่อดึงดูดแรงงานในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในทุกภาคส่วน
3. ราคาสินค้าขยับตาม
เมื่อค่าจ้างและต้นทุนเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวของเครื่องใช้ อาหารแปรรูป และวัสดุก่อสร้าง จะปรับขึ้นตามทันที ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อแบบเร่งด่วน
4. เศรษฐกิจท้องถิ่นในพื้นที่แรงงานจะซบเซา
เมืองที่พึ่งพาแรงงานต่างชาติอย่างหนัก เช่น สมุทรสาคร และชลบุรี จะสูญเสียกำลังซื้อ ร้านค้า หอพัก ร้านอาหาร และบริการต่าง ๆ ที่เคยรองรับแรงงานเหล่านี้จะขาดรายได้แบบทันทีทันใด
5. ภาครัฐต้องหาทางทดแทนแรงงานใหม่
แนวทางที่เป็นไปได้ คือเปิดรับแรงงานจากประเทศอื่น เช่น เมียนมา ลาว หรือหันมาอุดหนุนแรงงานไทย ซึ่งปัจจุบันเข้าสู่ตลาดงานน้อยลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากปัญหาการศึกษาและสภาพสังคม
ด้านกัมพูชา: พร้อมแค่ไหนกับการรับแรงงานคืน?
แม้สม รังสีจะประกาศอย่างมั่นใจ แต่ข้อเท็จจริงจากกระทรวงแรงงานกัมพูชาระบุชัดว่า มีตำแหน่งงานว่างเพียง 230,000 อัตรา เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าจำนวนแรงงานที่ทำงานในไทยถึง เกือบ 10 เท่า
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในกัมพูชา:
1. แรงงานทะลักเข้าเกินศักยภาพ
ระบบจัดหางานและฝึกอาชีพไม่สามารถรองรับได้ทัน ส่งผลให้เกิด “แรงงานส่วนเกิน” ซึ่งไม่มีงานทำ และสร้างแรงกดดันต่อระบบสังคม
2. อัตราว่างงานพุ่งสูง
ผู้ที่กลับบ้านแล้วไม่มีงานทำ จะเผชิญปัญหาความยากจน และอาจนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมและความไม่สงบในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตชนบท
3. เศรษฐกิจภายในจะสะเทือน
รายได้จากแรงงานในไทยที่เคยส่งกลับบ้าน (remittance) ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของครัวเรือนจำนวนมาก จะหายไป ส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศ และกระทบต่อ GDP ของกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ
มุมมองนักวิชาการ: เกมการเมืองหรือภาพลวงตาแห่งชาตินิยม?
หลายฝ่ายมองว่าการเคลื่อนไหวของสม รังสีครั้งนี้เป็นเพียง “กลยุทธ์ทางการเมือง” เพื่อสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยอาศัยประเด็นชาตินิยมมาปลุกเร้าอารมณ์สาธารณะในประเทศ แต่กลับไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบเชิงโครงสร้างที่อาจตามมา
การเรียกร้องให้ประชาชนกว่า 2 ล้านคนกลับประเทศ โดยไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน อาจถือเป็นการเสี่ยงสร้าง “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ทั้งในประเทศตนเอง และประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย
ทางออกควรอยู่ที่การร่วมมือ ไม่ใช่การผลักไส
ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดจากกรณีนี้คือ แรงงานข้ามชาติมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตแรงงานไม่ควรขึ้นอยู่กับคำประกาศของนักการเมืองเพียงคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจไม่ได้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องนั้น
รัฐบาลกัมพูชาควรเน้นการพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศ และเพิ่มตำแหน่งงานใหม่ในระยะยาว ขณะที่ไทยเองก็ควรมีแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของแรงงานต่างชาติ พร้อมจัดระบบให้แรงงานทำงานอย่างถูกต้องและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาคเอาไว้ให้ได้




















