ไวรัลสนั่น! เจ้าสาวชาวเผ่าสวยจึ้งเหมือนดารา ยอดวิวคลิปหมั้นพุ่ง 2.5 ล้าน
สวยสะท้านโลกออนไลน์! "เอซ มอน กระรง" เจ้าสาวชาวเผ่าเอเตวัย 20 ปี ทำโซเชียลลุกเป็นไฟ งานหมั้นสุดตระการตา ยอดวิวทะลุ 2.5 ล้าน แถมเผยธรรมเนียมสุดทึ่ง "ฝ่ายหญิงยกขันหมากสู่ขอเจ้าบ่าว"
ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเรื่องราวจากทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ภาพความงดงามของเจ้าสาวชาวชนเผ่าแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามก็กลายเป็นไวรัลเพียงชั่วข้ามคืน เธอมีชื่อว่า "เอซ มอน กระรง" สาวงามวัย 20 ปี ผู้กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วเอเชีย ด้วยความสง่างามในชุดประจำเผ่า "เอเต" ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางภาคกลางของเวียดนาม ที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันน่าทึ่งและไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พิธีหมั้น" ที่แตกต่างจากภาพจำของคนทั่วไป เพราะเป็นฝ่ายหญิงที่ต้องจัดขบวนขันหมากไปสู่ขอเจ้าบ่าว!
คลิปไวรัลทะลุ 2.5 ล้านวิวในไม่กี่วัน
พิธีหมั้นของ "เอซ มอน กระรง" และเจ้าบ่าวหนุ่มรุ่นเดียวกันนามว่า "อิ ตานี เนีย" จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่เมือง บานมาก๊วต จังหวัดตั๊กลัก ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม โดยมีครอบครัวและคนในชุมชนมาร่วมเป็นสักขีพยานจำนวนมาก คลิปวิดีโอที่บันทึกโดยน้องชายของเจ้าสาว ถูกเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง TikTok และ Facebook ก่อนจะระเบิดความฮือฮาจนยอดรับชมทะลุ 2.5 ล้านวิวภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ในคลิป ผู้คนได้เห็นภาพของหญิงสาวในชุดพื้นเมืองสีสดใส ตัดเย็บอย่างปราณีต เดินเคียงข้างเจ้าบ่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มท่ามกลางบรรยากาศแสนอบอุ่น สิ่งที่ทำให้หลายคนต้องหยุดดูไม่ใช่แค่ความงามอันเป็นธรรมชาติของเจ้าสาว แต่ยังเป็น ความน่าทึ่งของพิธีหมั้นในระบบ "มารดาธิปไตย" ซึ่งหาชมได้ยากในยุคปัจจุบัน
เปิดวัฒนธรรม "มารดาธิปไตย" แห่งเผ่าเอเต: ฝ่ายหญิงคือผู้ยกขันหมาก!
หากพูดถึงพิธีหมั้นในวัฒนธรรมทั่วไป หลายคนอาจคุ้นเคยกับภาพของฝ่ายชายที่ยกขันหมากไปสู่ขอเจ้าสาวถึงบ้าน แต่ไม่ใช่กับเผ่า "เอเต" ซึ่งมีแนวคิดและวิถีชีวิตที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
"เอซ มอน กระรง" เปิดเผยว่า ตามธรรมเนียมของชาวเอเต ซึ่งยึดหลัก "มารดาธิปไตย" (Matriarchy) หรือระบบที่ให้ฝ่ายหญิงมีบทบาทสำคัญในครอบครัวและสังคม จึงเป็นธรรมเนียมว่า ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้จัดเตรียมขบวนหมั้น และเดินทางไปยังบ้านเจ้าบ่าวเพื่อทำพิธีสู่ขอ แทนที่จะเป็นฝ่ายชายอย่างที่คนส่วนใหญ่นิยม
เมื่อพิธีเสร็จสิ้น ฝ่ายชายจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของฝ่ายหญิง ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายว่าครอบครัวฝ่ายหญิงยอมรับในตัวเจ้าบ่าว และเปิดประตูต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวอย่างเป็นทางการ
ไขข้อสงสัย! เงินในขันคือ “ขวัญถุง” ไม่ใช่สินสอด
อีกหนึ่งภาพที่ทำให้ผู้ชมหลายคนสงสัย คือ ขันเงินที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวถือไว้ระหว่างทำพิธี บางคนเข้าใจผิดว่าเป็น "สินสอดทองหมั้น" แต่แท้จริงแล้วมันคือ “เงินขวัญถุง” ซึ่งเป็นเงินที่ญาติพี่น้องทั้งสองฝ่ายใส่ลงไปด้วยใจ
"เอซ มอน กระรง" เล่าว่า การใส่เงินในขันนั้นไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนหรือจ่ายค่าตัวใด ๆ แต่เป็น สัญลักษณ์แห่งความรัก ความร่วมมือ และการอวยพรจากครอบครัวและชุมชน เพื่อเป็นกำลังใจให้ชีวิตคู่ที่กำลังเริ่มต้น มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง
ความรักน่ารักตั้งแต่วัยเรียน สู่การหมั้นหมายอย่างมั่นคง
แม้จะเป็นคู่รักที่อายุน้อย แต่เรื่องราวความรักของ เอซ มอน กระรง และ อิ ตานี เนีย กลับเปี่ยมด้วยความเข้าใจและการรอคอยอย่างมีคุณค่า ทั้งสองคนรู้จักกันตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย ขณะมีอายุเพียง 17 ปี และแม้จะมีความรู้สึกดี ๆ ให้กัน แต่ทั้งคู่ก็ตัดสินใจให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับแรก
ความสัมพันธ์ค่อย ๆ พัฒนาอย่างมั่นคง เมื่อฝ่ายชายต้องไปรับใช้ชาติในฐานะทหารเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ทั้งคู่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กันไว้ ผ่านการติดต่อและให้กำลังใจกันเสมอมา จนเมื่ออิ ตานี เนีย ปลดประจำการ เขาก็ไม่รีรอที่จะขอหญิงคนรักแต่งงานทันที เพราะรู้ดีว่าเธอคือคนที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดชีวิต
เสียงสะท้อนจากชาวเน็ต: งดงามทั้งภายนอกและหัวใจ
หลังจากคลิปพิธีหมั้นของทั้งสองคนถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตจำนวนมากต่างร่วมส่งคำอวยพร และแสดงความคิดเห็นชื่นชมอย่างล้นหลาม หลายคนระบุว่า ความงามของ "เอซ มอน กระรง" ไม่ได้มีแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังเต็มไปด้วยความอ่อนน้อม และความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองอย่างแท้จริง
เจ้าสาวยังกล่าวอย่างถ่อมตนว่า เธอเชื่อว่ายังมีหญิงสาวในเผ่าเอเตอีกมากที่สวยกว่าเธอ และสิ่งที่ทำให้เธอดูโดดเด่นในวันนั้น อาจเป็นเพราะการแต่งหน้าและบรรยากาศอันอบอุ่น เธอรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เผยแพร่วัฒนธรรมอันงดงามของชนเผ่าให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จัก
ความงามที่มากกว่ารูปกาย คือรากเหง้าและหัวใจ
เรื่องราวของ "เอซ มอน กระรง" ไม่เพียงแต่เป็นภาพสะท้อนของความรักในแบบฉบับของหนุ่มสาวชาวชนเผ่าเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นว่า ความงดงามของวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นสามารถสร้างพลังทางบวกในโลกยุคใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อธรรมเนียมท้องถิ่นอันละเอียดอ่อนได้ถูกนำเสนอผ่านเลนส์ของโซเชียลมีเดีย ก็กลายเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงหัวใจของผู้คนจากทั่วโลก

















