แม่ค้าผลไม้ครวญ! ด่านไทย-กัมพูชาปิดยาว ขาดทุนวันละ 50 ล้าน
เสียงสะท้อนจากตลาดไท! ผู้ค้าผักผลไม้เดือดร้อนหนัก สูญรายได้กว่า 50 ล้านต่อวัน วอนรัฐเร่งช่วยเหลือหลังปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา
วันที่ 17 มิถุนายน 2568 นับเป็นอีกหนึ่งวันแห่งความหนักหน่วงของกลุ่มผู้ค้าผักและผลไม้ในตลาดไท ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างเฉียบพลันจากการประกาศปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาโดยไม่มีกำหนด ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยโดยเฉพาะผักและผลไม้ไปยังประเทศเพื่อนบ้านต้องหยุดชะงักลงในทันที
รายงานจากผู้สื่อข่าวภาคสนามเผยให้เห็นถึงบรรยากาศที่ปกคลุมด้วยความสิ้นหวังของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดไท ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการกระจายสินค้าผักผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การประกาศปิดด่านที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คำสั่งซื้อจากลูกค้าชาวกัมพูชาหดหาย ขณะเดียวกัน สินค้าทางการเกษตรที่ถูกสั่งซื้อมาล่วงหน้าจากแหล่งผลิตทั่วประเทศยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดภาวะล้นตลาด สินค้าระบายออกไม่ได้
“เราสั่งของล่วงหน้ากันเป็นเดือน ผลไม้บางชนิดมาจากต่างประเทศ ใช้เวลาเดินทางและเคลียร์เอกสารนาน พอของมาถึงกลับขายไม่ได้ ทำยังไงกันดีล่ะ” – หนึ่งในผู้ค้ารายใหญ่กล่าวด้วยความคับแค้นใจ
ผลกระทบแผ่กว้าง: ผู้ค้าสะอื้น-ลูกค้าหาย-ผลไม้เน่าในสต๊อก
จากการประเมินเบื้องต้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการส่งออกสินค้าไม่ได้มีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านบาทต่อวัน ไม่ใช่เพียงเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อตัวผู้ค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบโลจิสติกส์ทั้งหมด ตลอดจนลูกค้ารายย่อยในประเทศปลายทางที่ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์การเกษตรของไทยด้วย
“ผลไม้สดอย่างทุเรียน มะม่วง แก้วมังกร พวกนี้มีอายุการเก็บไม่นาน ถ้าเลยจุดที่เหมาะสมก็ขายไม่ได้ ของเสียคุณภาพแย่ ต้องทิ้งหมด มันเหมือนโยนเงินทิ้งไปเฉย ๆ” ป้าดา แม่ค้าขาประจำที่ตลาดไท เล่าอย่างกลั้นน้ำตา
“เข้าใจว่าเป็นมาตรการเพื่อความมั่นคงหรือเหตุผลใดก็ตาม แต่พวกเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน รักประเทศเหมือนกัน แล้วเราก็เดือดร้อนจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อยากให้รัฐช่วยเปิดช่องทางให้ส่งของได้บ้าง ขอแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ยังดี”
ตลาดไอยราก็ไม่ต่างกัน: “ผลกระทบลูกโซ่” สะเทือนถึงปลายทาง
ที่ตลาดไอยรา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศูนย์กระจายสินค้าผักผลไม้ขนาดใหญ่ในพื้นที่ใกล้เคียง สถานการณ์ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก “มาตามฟรัด” หนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ของตลาดกล่าวว่า ความเดือดร้อนไม่ได้จำกัดเฉพาะฝั่งผู้ค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อลูกค้าและผู้บริโภคฝั่งกัมพูชาที่ต้องพึ่งพาผลไม้ไทยในชีวิตประจำวัน
“ลูกค้าเราก็โทรมาถามทุกวัน ว่าจะเปิดเมื่อไหร่ ของจะส่งได้ไหม เขาก็มีธุรกิจต้องดูแลเหมือนกัน ที่เจ็บใจคือเราไม่รู้จะตอบยังไง เพราะมันไม่แน่นอนเลยว่าพรุ่งนี้จะเปิดไหม มันปิด ๆ เปิด ๆ มาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่นี่วันอังคาร 17 มิ.ย. ก็ยังปิดตลอดวันอีก”
การวางแผนล่วงหน้าถูกทลาย ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนเพียงลำพัง
ธุรกิจผลไม้เป็นหนึ่งในกิจการที่มีลักษณะเฉพาะ เพราะจำเป็นต้องวางแผนการสั่งซื้อ การขนส่ง และการกระจายสินค้าอย่างแม่นยำและเป็นระบบ สินค้าหลายรายการเป็นของที่ต้องนำเข้าและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เช่น องุ่นจากออสเตรเลีย เชอร์รี่จากอเมริกา หรือแอปเปิลจากจีน
หากสินค้ามาถึงแล้วแต่ไม่สามารถจำหน่ายได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็เท่ากับขาดทุนในทันที ผู้ค้าไม่มีทางเลือกนอกจากแบกรับต้นทุนค่าขนส่ง ค่าภาษี ค่าห้องเย็น ค่าแรง และในที่สุดก็คือ “ความสูญเปล่า” ที่ยากจะเยียวยาได้
แนวทางที่รัฐควรพิจารณาเพื่อเยียวยาผู้ค้าผักผลไม้
ในสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นี้ ทางการจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกชายแดนโดยตรง
1. เปิด “ช่องทางพิเศษ” สำหรับการขนส่งสินค้าเกษตร
อาจใช้แนวทางการเปิดด่านชั่วคราวหรือกำหนดเวลาเฉพาะสำหรับขนส่งสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีอายุสั้น พร้อมควบคุมความปลอดภัยตามมาตรการที่รัฐกำหนดอย่างเข้มงวด
2. จัดหาตลาดทางเลือกในประเทศ
ภาครัฐควรเข้ามาช่วยประสานกับห้างค้าส่ง-ปลีกในประเทศ เพื่อกระจายสินค้าล็อตที่ไม่สามารถส่งออกได้ ให้ผู้บริโภคไทยได้เข้าถึงในราคาย่อมเยา ช่วยลดภาระของผู้ค้าและลดการสูญเสียของสินค้า
3. เร่งการเจรจาการทูตเพื่อคลี่คลายปัญหา
หากการปิดด่านเกิดจากปัญหาการเมืองหรือความมั่นคง รัฐบาลควรเร่งใช้ช่องทางการทูตเพื่อเปิดโต๊ะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาอย่างจริงจัง พร้อมเน้นสันติวิธีและการรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
4. เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
พิจารณามาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การชดเชยบางส่วน หรือการพักชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ปัจจุบัน
วิกฤตที่ต้องเร่งแก้ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
การปิดด่านไทย-กัมพูชาในครั้งนี้อาจดูเป็นมาตรการระยะสั้น แต่กลับส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและรุนแรงต่อเศรษฐกิจระดับรากหญ้า และหากยังไม่มีการดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะทวีคูณขึ้นอย่างน่ากังวล
เสียงของผู้ค้าจากตลาดไทและตลาดไอยรากำลังส่งสารถึงภาครัฐว่า “เรารักประเทศไทย แต่เราก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน” พวกเขาไม่ได้ขอในสิ่งที่เกินตัว แต่เพียงแค่อยากมีช่องทางในการดำรงชีวิตและเลี้ยงครอบครัวได้ต่อไป
ภาครัฐจะรับฟังหรือไม่... ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและความเข้าใจในหัวใจของคนทำมาหากิน
หากคุณเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญ และอยากให้เสียงของผู้ค้าผักผลไม้ไปถึงผู้มีอำนาจ ร่วมแชร์บทความนี้ และร่วมเสนอแนวทางที่คุณคิดว่า “รัฐควรทำ” เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

















