ยึดอีก! ทนายตั้มโดนเพิ่ม 6 ล้าน – ดิไอคอนงานเข้าหนัก 160 ล้าน!
ปปง. ลุยเข้ม! ยึดทรัพย์เพิ่ม “ทนายตั้ม” มูลค่า 6 ล้าน – “ดิ ไอคอนกรุ๊ป” เจออีกระลอก 160 ล้าน ทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม-รถหรู-นาฬิกา
ในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา วงการกฎหมายและธุรกิจสั่นสะเทือนอีกระลอก เมื่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ได้แถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ซึ่งมีการ ยึดและอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม จาก 2 คดีใหญ่ที่เป็นที่จับตามองในสังคม คือ คดีของ “ทนายตั้ม” หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ คดีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 200 ล้านบาท
จับตาคดี "ทนายตั้ม" – เส้นทางฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ และความผิดฐานฟอกเงิน
นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงาน ปปง. และโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนาม "ทนายตั้ม" ว่า คณะกรรมการธุรกรรมได้พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับความผิดฐาน ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และความผิดฐาน ฟอกเงิน โดยก่อนหน้านี้มีคำสั่ง ยึดและอายัดทรัพย์สินแล้ว 3 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 71 ล้านบาท
ล่าสุด มีการตรวจพบ ทรัพย์สินเพิ่มเติมอีก 25 รายการ ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าแบรนด์เนม หรือ สิทธิเรียกร้องตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ รวมมูลค่าราว 6 ล้านบาท ซึ่งทำให้ยอดรวมทรัพย์สินที่ถูกยึดในคดีนี้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
บิ๊กคดี “ดิ ไอคอนกรุ๊ป” – ยึดทรัพย์รอบ 6 กวาดอีก 160 ล้าน
ไม่เพียงแค่คดีทนายตั้มเท่านั้น คดีที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือคดีของ บริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ฉ้อโกงประชาชน และเกี่ยวพันกับธุรกิจขายตรงลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่
ก่อนหน้านี้ ปปง. ได้ออกคำสั่ง ยึดและอายัดทรัพย์สินแล้ว 5 ครั้ง รวมจำนวน 165 รายการ มูลค่าประเมินกว่า 450 ล้านบาท และส่งเรื่องให้อัยการพิจารณายื่นคำร้องต่อศาล โดยแบ่งเป็น 2 สำนวนหลัก ได้แก่
คดีหมายเลขดำที่ ฟ.3/2568
คดีหมายเลขดำที่ ฟ.54/2568
ล่าสุดในการประชุมเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2568 คณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้ ยึดทรัพย์เพิ่มเติมอีก 281 รายการ ซึ่งประกอบไปด้วย กระเป๋าแบรนด์เนมระดับโลก, นาฬิกาหรู, รถยนต์หรูหรา และสินค้าฟุ่มเฟือยอีกมากมาย รวมมูลค่าประมาณ 160 ล้านบาท
เมื่อรวมกับของกลางเดิม มูลค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้พุ่งทะลุ 600 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคดีฉ้อโกงและฟอกเงินที่มีมูลค่าสูงสุดในรอบปีของประเทศ
เบื้องหลัง “ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” – กฎหมายที่สังคมควรรู้จัก
คดีทั้งสองคดีนี้มีจุดร่วมสำคัญคือ “ความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” ซึ่งเป็นคำทางกฎหมายที่ประชาชนทั่วไปอาจยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
คำว่า "ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ" หมายถึง การกระทำความผิดในลักษณะ ต่อเนื่อง ซ้ำซาก มีรูปแบบชัดเจน เช่น การหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนแบบผิดกฎหมาย หรือการตั้งระบบแชร์ลูกโซ่ โดยมีเจตนาหลอกลวงอย่างชัดแจ้ง
กฎหมายจึงมองว่าเป็นการกระทำที่อันตรายต่อสังคม และให้โทษที่รุนแรงมากกว่าการฉ้อโกงทั่วไป อีกทั้งยัง สามารถนำไปสู่การยึดทรัพย์สิน หากตรวจสอบแล้วพบว่าได้มาจากการกระทำความผิด
บทบาทของ ปปง. – ผู้พิทักษ์ความโปร่งใสของสังคมไทย
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ถือเป็นหน่วยงานหลักของประเทศไทยในการ ตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยมีอำนาจในการยึดและอายัดทรัพย์สิน หากพบว่าทรัพย์นั้นเกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงิน
บทบาทของ ปปง. ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การยึดทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเป็น ด่านแรกในการตรวจสอบความโปร่งใสทางการเงิน ของบุคคลและนิติบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย รวมถึงการสนับสนุนข้อมูลแก่หน่วยงานยุติธรรมและศาล
ในกรณีของคดีทนายตั้มและดิ ไอคอนกรุ๊ปนี้ ปปง. แสดงให้เห็นถึง การดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน และต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า ทรัพย์สินที่ได้มาจากการหลอกลวงหรือฉ้อโกง จะไม่สามารถนำมาใช้หรือฟอกเป็นทรัพย์สินถูกกฎหมายได้อย่างง่ายดาย
เสียงสะท้อนจากประชาชน – อยากเห็นบทลงโทษเด็ดขาด
หลังข่าวการยึดทรัพย์ดังกล่าวเผยแพร่ไปในโลกออนไลน์ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็เกิดขึ้นทันที หลายคนมองว่า “ถึงแม้จะมีการยึดทรัพย์แล้ว แต่ผู้เสียหายควรได้รับการชดใช้คืน” ขณะที่บางคนตั้งคำถามว่า “ทำไมบุคคลระดับนี้ถึงสามารถกระทำผิดได้โดยไม่ถูกจับกุมตัวทันที”
มีเสียงเรียกร้องให้ ระบบยุติธรรมเข้มงวดกับผู้กระทำผิดที่มีอิทธิพลหรือชื่อเสียง เพื่อไม่ให้เกิดค่านิยมผิดๆ ว่าคนมีชื่อเสียงสามารถหลบเลี่ยงความผิดได้
บทสรุป – คดีนี้จะไม่จบแค่การยึดทรัพย์
คดีทนายตั้มและดิ ไอคอนกรุ๊ป ยังคงต้องติดตามต่ออย่างใกล้ชิด เพราะการยึดทรัพย์เป็นเพียง จุดเริ่มต้น ของกระบวนการพิสูจน์ความผิดและชดใช้ความเสียหาย
เมื่อศาลแพ่งมีคำสั่งเด็ดขาดเกี่ยวกับทรัพย์สินแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การฟ้องร้องทางอาญา การนำทรัพย์กลับมาเยียวยาผู้เสียหาย และการยืนยันว่าระบบกฎหมายของไทยยังสามารถเอาผิดผู้กระทำผิดได้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหนก็ตาม
















