เขมรโพสต์โชว์! รพ.อุบลเงียบเหงา ไร้คนกัมพูชา – คนไทยแห่เมนต์ “แบบนี้แหละดี!”
สื่อเขมรเผยคลิปโรงพยาบาล จ.อุบลฯ เงียบเหงา ไร้คนไข้กัมพูชา หลังสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด ชาวเน็ตไทยแห่แสดงความเห็น “ลดภาระหมอ-พยาบาลได้เยอะ”
กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกจับตามองในโลกโซเชียล เมื่อเพจข่าวกัมพูชา “សុភក្រ្ត-Som Sopheak” ได้เผยแพร่คลิปบรรยากาศภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนเขาพระวิหาร ประเทศกัมพูชา โดยในคลิปดังกล่าวเผยให้เห็นภาพโรงพยาบาลที่ดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีผู้ป่วยชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามารับการรักษาเหมือนในอดีต ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เริ่มปะทุขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
จากเดิมที่โรงพยาบาลในอุบลราชธานีเคยมีผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะชาวกัมพูชา เดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์วันละหลายสิบคน บางวันอาจแตะถึงหลักร้อย แต่จากสถานการณ์ความไม่สงบในช่วงนี้ รวมถึงการปิดด่านพรมแดนโดยฝ่ายไทย ทำให้จำนวนผู้ป่วยชาวกัมพูชาลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนถึงขั้น “เงียบเหงา” ตามที่ปรากฏในคลิปที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย
ขณะเดียวกัน เพจชื่อดังของไทยอย่าง Drama-addict ก็ได้ร่วมแชร์คลิปนี้ พร้อมแปลแคปชั่นต้นฉบับที่เขียนเป็นภาษากัมพูชาเป็นภาษาไทย ซึ่งมีเนื้อหาที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของชาวกัมพูชาต่อสถานการณ์ดังกล่าว โดยใจความสำคัญระบุว่า โรงพยาบาลในอุบลที่เคยมีชาวกัมพูชามารักษาตัวมากมาย กลับเงียบเหงาอย่างกะทันหัน และสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ฝ่ายไทยเป็นผู้ปิดด่านข้ามแดนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากไม่สามารถเดินทางเข้ามารับการรักษาได้ตามปกติ
นอกจากนี้ยังมีการระบุอีกว่า ที่ผ่านมา ชาวกัมพูชาที่มีฐานะหรือมีความสามารถบางส่วนมักเดินทางไปรักษาที่กรุงเทพฯ หรือโรงพยาบาลในจังหวัดอื่น เช่น สุรินทร์ ซึ่งติดกับชายแดนของกัมพูชาเช่นกัน โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย
เสียงสะท้อนจากโซเชียลไทย : “นี่แหละ...ภาระที่ควรถูกลด”
หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตไทยจำนวนมากต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนการที่ไม่มีชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลไทย โดยมองว่าเป็น “เรื่องดี” ที่จะช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ไทยได้เป็นอย่างมาก
มีผู้ใช้โซเชียลรายหนึ่งแสดงความเห็นว่า
“ลดภาระที่ไม่จำเป็นไปได้เยอะ คุณหมอและพยาบาลจะได้พักบ้างไรบ้าง”
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า
“หมอ พยาบาล ได้พักละค่ะ แปลว่าที่ผ่านมา มีแต่ต่างด้าวทั้งนั้น คนไทยแทบไม่ได้มารักษาเลย โดนต่างด้าวแย่งที่รักษาหมด แล้วฟรีด้วยนะ คนไทยได้อะไรก่อน...ไม่เสียสักบาทและจะมาทำเป็นมีบุญคุณ”
ความเห็นเหล่านี้สะท้อนถึงความอัดอั้นในใจของประชาชนไทยส่วนหนึ่งที่รู้สึกว่า โรงพยาบาลภาครัฐของไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดน ต้องรองรับภาระของชาวต่างชาติที่ข้ามเข้ามารับการรักษาฟรีจากงบประมาณของรัฐ ซึ่งเดิมทีควรเป็นสิทธิของประชาชนไทย
ประเด็น “การรักษาฟรี” สำหรับต่างด้าว คือปัญหาที่ควรถูกทบทวน?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การที่แรงงานต่างด้าว รวมถึงประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลของไทย โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง
แม้ในบางกรณี ผู้ป่วยต่างด้าวจะต้องจ่ายค่ารักษาเหมือนคนไทยทั่วไป แต่ในอีกหลายกรณีกลับพบว่า มีช่องว่างทางระบบที่ทำให้บางกลุ่มสามารถเข้าถึงการรักษาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือเสียในอัตราที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อีกทั้งยังมีรายงานจากบางโรงพยาบาลว่า มีการเบิกจ่ายค่ารักษาให้ต่างด้าวโดยใช้งบกลางของรัฐ หรือจากโครงการเพื่อมนุษยธรรม
ปัญหาเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการทบทวนนโยบายด้านสาธารณสุขและการให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ระบบสาธารณสุขไทยต้องรองรับภาระจากโรคระบาดและจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มิติด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่มุมมองจากฝ่ายไทยเท่านั้น หากพิจารณาในแง่มุมของมนุษยธรรม การเข้าถึงการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสัญชาติใดก็ตาม ยิ่งหากมีกรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ อาจส่งผลกระทบในระยะยาวทั้งต่อตัวบุคคลและสังคมโดยรวม
การปิดด่านหรือจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงบริการในลักษณะเฉียบพลันเช่นนี้ แม้จะช่วยบรรเทาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ไทยในระยะสั้น แต่ก็อาจสร้างความเข้าใจผิดระหว่างประเทศ และสร้างบรรยากาศความตึงเครียดในระดับนโยบาย
เสียงจากชาวอุบลราชธานี : “ลดจำนวนคนไข้ลงก็ดีเหมือนกัน”
ผู้ใช้เฟซบุ๊กในพื้นที่จังหวัดอุบลฯ บางส่วนก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในแนวเดียวกับชาวเน็ตทั่วไป โดยหลายคนมองว่า โรงพยาบาลในพื้นที่มีผู้ป่วยมากเกินกำลังอยู่แล้ว การที่ไม่มีชาวกัมพูชาข้ามฝั่งมารักษาตัว จึงเป็นโอกาสที่ดีให้กับคนไทยในพื้นที่ได้เข้าถึงบริการเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวข้ามวัน หรือเสียเวลาทั้งวันเพียงเพื่อพบแพทย์ไม่ถึง 5 นาที
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนที่มองว่า สถานการณ์นี้เป็นเพียงผลกระทบชั่วคราว และควรมองในภาพรวมมากกว่าการดีใจที่ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ระบบการแพทย์ของไทยก็ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านอื่น ๆ อีกมาก ทั้งเรื่องบุคลากรขาดแคลน งบประมาณจำกัด และการเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกล
เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลในจังหวัดอุบลราชธานีไร้ผู้ป่วยชาวกัมพูชาเข้ามารับการรักษา อันเนื่องมาจากสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดน ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยส่วนหนึ่งที่อัดอั้นกับภาระในระบบสาธารณสุข
แม้ในมุมหนึ่งจะดูเหมือนเป็นการ “ลดภาระ” ให้กับโรงพยาบาล แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และทำให้เราในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันต้องหวนกลับมาทบทวนว่า เราควรให้ความช่วยเหลือกันในระดับใด และควรวางนโยบายระยะยาวเพื่อให้เกิดสมดุลระหว่าง “มนุษยธรรม” และ “ภาระของรัฐ” อย่างไร














