แฉอีกคลิป! ขนส่งดังเจอแฉ พนง.เตะพัสดุจนเละ ชาวเน็ตเดือดจี้สอบด่วน
ดราม่าร้อน! คลิปแฉพนักงานขนส่งดัง “โยน-เตะพัสดุ” ดั่งลูกบอล ลูกค้าเดือด ซัดบริการสุดห่วย ของเสียหาย-หาย-เคลมยาก ชี้ต้องปฏิรูปทั้งระบบ
กลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนบนโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง “ท่านเปา” ได้เผยแพร่คลิปจากกล้องวงจรปิดภายในสถานที่คัดแยกพัสดุของบริษัทขนส่งเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งคลิปดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมสุดช็อกของพนักงานขนส่งที่กำลังคัดแยกพัสดุด้วยท่าทางที่ไร้ซึ่งความใส่ใจ ไม่เพียงแต่โยนกล่องพัสดุของลูกค้าไปมาอย่างไม่สนใจสภาพภายใน แต่ยังมีการใช้เท้า “เตะ” พัสดุข้ามไปอีกฝั่งอย่างไม่ใยดี สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้งานจำนวนมากในโลกออนไลน์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด
คลิปเดียวสะเทือนทั้งวงการขนส่ง เรียกร้องตรวจสอบเร่งด่วน
ข้อความที่โพสต์พร้อมกับคลิปจากเพจท่านเปา ระบุว่า “ถึงว่ากว่าจะถึง บุบบิบไปหมด พนักงานขนส่งคัดแยกพัสดุด้วยการโยนของลูกค้าแบบข้ามฝั่ง และใช้เท้าเตะของลูกค้า โดยไม่สนใจว่าของข้างในลูกค้าจะเป็นอะไรหรือเสียหายหรือไม่” ซึ่งหลังจากคลิปถูกเผยแพร่ออกไปได้ไม่นาน กลายเป็นกระแสไวรัลที่แชร์ต่อกันนับหมื่นครั้ง พร้อมแฮชแท็ก #ขนส่งห่วย #พัสดุพังตรูต้องทน พุ่งขึ้นติดเทรนด์ในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์ม
ประสบการณ์เลวร้ายถาโถม ทะลักคอมเมนต์
ลูกค้าที่เคยใช้บริการบริษัทขนส่งดังกล่าวต่างพร้อมใจกันออกมาแชร์ประสบการณ์ที่ “ไม่น่าจดจำ” ทั้งจากการรอรับของเป็นเวลานานกว่ากำหนด ของได้รับความเสียหาย กล่องบุบฉีก รวมถึงของภายในพัสดุหายโดยไร้คำอธิบายที่ชัดเจน บางรายถึงขั้นระบุว่า “โทรไปถามก็บอกของมาแบบนี้ตั้งแต่ต้นทาง โทรไป call center ก็ได้แต่ตอบว่าจะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง แต่สุดท้ายเงียบหาย ไม่เคยมีใครโทรกลับจริง”
ผู้ใช้รายหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้ศูนย์คัดแยกพัสดุยังเผยว่า เห็นพฤติกรรมเช่นในคลิปอยู่เป็นประจำ “โยนยิ่งกว่าในคลิปอีกค่ะ บางทีก็ของแตกต่อหน้าเราเลย ถ้าอยากเห็น วันหลังจะถ่ายให้ดู” ขณะที่อีกรายแชร์ว่าเคยได้รับพัสดุที่ของภายในไม่ตรงกับที่ส่งไป แถมเมื่อร้องเรียนกลับถูกโยนความรับผิดชอบไปมา และเคลมได้ยากมาก
อดีตพนักงานแฉค่าปรับเมื่อโยนพัสดุ ชิ้นละ 500 บาท
หนึ่งในคอมเมนต์ที่ได้รับความสนใจคือจากผู้ใช้งานที่ระบุว่าเคยเป็นอดีตพนักงานของบริษัทขนส่งแห่งนี้ เขาเปิดเผยว่าในอดีต หากพนักงานสาขาใดถูกจับได้ว่าโยนพัสดุของลูกค้า จะถูกปรับเงินเดือน “ชิ้นละ 500 บาท” ซึ่งนั่นอาจจะเคยเป็นมาตรการควบคุมพฤติกรรมของพนักงาน แต่คำถามก็คือ ปัจจุบันยังมีการควบคุมและลงโทษในลักษณะนี้อยู่หรือไม่ เพราะจากภาพที่ปรากฏในคลิปดูเหมือนว่าความใส่ใจในคุณภาพและความรับผิดชอบได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
“ตัดภาพมาตอนนี้ ปรับเป็นแสนแล้วหรือยัง?” คำถามประชดที่ชาวเน็ตตั้งขึ้น เป็นเสียงสะท้อนถึงความผิดหวังต่อการบริการที่ไม่มีพัฒนาการแม้ในยุคที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว
วิพากษ์ภาพลักษณ์บริษัทขนส่งชื่อดัง – ไม่มีมาตรฐาน?
นอกจากประเด็นเรื่องการโยนและเตะพัสดุแล้ว หลายคนยังตั้งคำถามถึงภาพรวมของระบบการจัดการในบริษัทขนส่งดังกล่าว บางคอมเมนต์ระบุว่า “สภาพการทำงาน สภาพการแต่งตัว และสภาพความสำนึก เหมือนไม่มีมาตรฐานอะไรเลย ทุกคนในภาพก็สภาพเดียวกันหมด ไม่มีใครคิดว่าอะไรคือความสมควร” เสียงวิจารณ์ลักษณะนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่อาจลึกกว่าระดับพฤติกรรมของพนักงานรายบุคคล แต่อาจสะท้อนถึงระบบการบริหารงานทั้งองค์กรที่ไร้การควบคุมดูแลอย่างจริงจัง
ของหาย เคลมยาก ติดต่อไม่ได้ - วงจรซ้ำซากที่ลูกค้าต้องแบกรับ
หนึ่งในประเด็นที่ลูกค้าหลายคนหยิบยกขึ้นมาคือความยากลำบากในการขอชดใช้หรือเคลมกรณีพัสดุเสียหายหรือสูญหาย บางคนเล่าว่า “แชทหาไลน์ Call Center บอกให้ไปร้องเรียนในแอป ทำเรื่องเคลมในแอป แต่พอทำเรื่องกลับบอกว่าหลักฐานไม่พอ จบข่าว อย่าได้เจอกันอีกเลย” ข้อความเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดระบบรองรับที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของลูกค้าอย่างแท้จริง
ถึงเวลา “ปฏิรูป” ระบบขนส่งพัสดุ?
จากเหตุการณ์ในคลิปและเสียงสะท้อนที่ตามมานั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมขนส่งพัสดุของไทยยังเผชิญกับปัญหาที่ฝังรากลึก ทั้งในด้านการบริการ การจัดการคุณภาพ และความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ในยุคที่การค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด บริการขนส่งพัสดุกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยิ่งทำให้ความคาดหวังของผู้บริโภคสูงขึ้นตามไปด้วย
จึงอาจถึงเวลาแล้วที่บริษัทขนส่งต้องลุกขึ้นมาทบทวนระบบของตนเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอบรมพนักงานให้มีจิตสำนึกในการรักษาทรัพย์สินของลูกค้า การใช้เทคโนโลยีเพื่อติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมในพื้นที่คัดแยก รวมไปถึงการพัฒนาระบบการชดเชยที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
คลิปแฉพฤติกรรมพนักงานขนส่ง “โยน-เตะพัสดุ” ที่แพร่สะพัดในโซเชียลไม่ใช่เพียงแค่ภาพสะท้อนของพฤติกรรมบุคคล แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงระบบที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน เมื่อผู้บริโภคไม่เพียงแค่ต้องการให้ของถึงมือ แต่ยังต้องการให้ “ของถึงแบบสมบูรณ์” และหากเกิดความเสียหาย ก็หวังเพียงว่าจะได้รับความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความเงียบ
นี่ไม่ใช่แค่หน้าที่ของพนักงาน แต่เป็นความรับผิดชอบทั้งองค์กร และอาจเป็นบททดสอบสำคัญของแบรนด์ขนส่งที่จะพิสูจน์ว่า “ความไว้ใจ” ยังมีค่าในธุรกิจที่พึ่งพาความเชื่อใจเป็นหลัก
อ้างอิงจาก: เฟซบุ๊ก ท่านเปา











