พระปลัดตอบชัด “ทิดแย้ม” ไม่ว่างเล่นบาคาร่า เพราะใช้ชีวิตแบบนี้ในวัด
“พระปลัดศานิตย์” เข้าเยี่ยม “ทิดแย้ม” ถึงห้องควบคุม สะท้อนมุมมองอีกด้าน – ยืนยันไม่เชื่อว่าเล่นพนันด้วยเงินวัด
วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 12.45 น. ณ อาคารรับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับคดีที่สังคมให้ความสนใจอย่างล้นหลาม เมื่อ พระปลัดศานิตย์ นิจจงคุโณ ซึ่งสื่อมวลชนคาดว่าเป็นพระลูกวัดไร่ขิง ได้เดินทางมาด้วยรถเก๋งสีขาว เข้าสู่บริเวณภายในอาคารอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสื่อมวลชนจำนวนมากที่ปักหลักรายงานข่าวอย่างใกล้ชิด
ทันทีที่เดินทางถึง พระปลัดศานิตย์ได้ตรงไปยังห้องควบคุมผู้ต้องหาเพื่อเข้าเยี่ยม “ทิดแย้ม” อดีตพระนักเทศน์ชื่อดังที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ยักยอกเงินวัดไปใช้ในการพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างแรงกระเพื่อมในวงการสงฆ์และสังคมไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้การเยี่ยมจะใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาทีเท่านั้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองอีกด้านหนึ่งของคดี และความห่วงใยจากผู้ที่ใกล้ชิดกับทิดแย้ม โดยเมื่อออกมาจากห้องควบคุม พระปลัดศานิตย์ก็ถูกผู้สื่อข่าวรุมสอบถามถึงการเดินทางมาในครั้งนี้ ซึ่งท่านได้เปิดเผยว่า “ตั้งใจจะมาเยี่ยมทิดแย้ม และให้กำลังใจในการต่อสู้คดี”
พระปลัดศานิตย์ระบุว่า “จากที่ได้พูดคุยกัน ทิดแย้มไม่ได้มีอาการเครียดมากนัก กลับดูเหมือนจะมีกำลังใจดีในการต่อสู้กับข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น” ซึ่งเป็นคำพูดที่อาจสะท้อนให้เห็นว่าทิดแย้มยังไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และยังมีผู้ศรัทธาบางส่วนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดคือข้อกล่าวหาเรื่อง การยักยอกเงินของวัดไร่ขิงไปเล่นการพนัน โดยเฉพาะการพนันออนไลน์ประเภทบาคาร่า ซึ่งเป็นที่จับตามองอย่างมากในโลกโซเชียล พระปลัดศานิตย์ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่เชื่อว่าทิดแย้มจะนำเงินไปเล่นการพนัน เพราะทุกวันเขาก็ทำแต่กิจของสงฆ์ และไม่ว่างพอที่จะนั่งเล่นพนันออนไลน์ ขนาดพระในวัดด้วยกันเองก็ยังไม่เคยได้ยินเลยว่าเขาไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้”
พระปลัดศานิตย์ยังกล่าวอีกว่า เรื่องการเบิกถอนเงินของวัดนั้น ต้องมีการอนุมัติจากคณะกรรมการวัด ไม่ใช่พระรูปใดรูปหนึ่งสามารถเบิกออกได้เองโดยลำพัง “ดังนั้น ถ้ามีการเบิกเงินออกไปใช้โดยไม่มีคณะกรรมการเกี่ยวข้อง ก็ต้องสอบให้แน่ชัดว่าผ่านกระบวนการใด” ท่านกล่าว
เรื่องการสึก: บทสวดไม่จบ = ไม่ถือว่าสึกสมบูรณ์
ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องการ “สึก” ของทิดแย้ม ซึ่งหลายฝ่ายเข้าใจว่าได้สละสมณเพศแล้วอย่างสมบูรณ์ แต่พระปลัดศานิตย์ให้ข้อมูลที่ต่างออกไป โดยระบุว่า
“ทิดแย้มอาจถูกกดดันให้สึก และแม้ว่าเขาจะถอดผ้าเหลืองต่อหน้าพระพุทธรูปในพิธีเมื่อวานนี้ แต่ก็มีข้อมูลว่าเขาท่องบทสวดไม่ครบ ซึ่งในทางพระวินัยถือว่าไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถถือว่าได้สึกอย่างแท้จริง”
พระปลัดศานิตย์ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า การที่ทิดแย้มสวดบทสวดไม่จบนั้นอาจเกิดจาก ความตั้งใจ เพราะเขาไม่ได้ต้องการจะสึกตั้งแต่แรก ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นที่สังคมควรรับฟังและพิจารณาอย่างรอบด้าน
ความไม่โปร่งใสในระบบการจัดการของวัด?
จากคำให้สัมภาษณ์ของพระปลัดศานิตย์ยังเผยให้เห็นถึง ความไม่ชัดเจนในระบบการบริหารการเงินของวัดไร่ขิง ที่อาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น โดยพระปลัดศานิตย์ยืนยันว่า แม้แต่พระในวัดเองก็ไม่ทราบว่าใครมีอำนาจเบิกถอนเงิน และโดยหลักการแล้ว “ต้องมีคณะกรรมการร่วมอนุมัติการใช้เงินวัด” แต่ดูเหมือนในกรณีนี้จะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ากระบวนการเบิกถอนเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่
เสียงสะท้อนจากสังคม: เห็นใจหรือผิดหวัง?
คดีของทิดแย้มกลายเป็นประเด็นที่แบ่งฝ่ายในสังคมอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งมองว่าเขาเป็นพระที่สร้างคุณงามความดีมายาวนาน เป็นพระนักเทศน์ที่สื่อสารหลักธรรมให้เข้าใจง่าย มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะเมื่อคดีเกี่ยวพันกับเงินบริจาคจากศรัทธาญาติโยม
เสียงของพระปลัดศานิตย์ในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งเสียงที่พยายามสะท้อนภาพของ “ทิดแย้ม” ในมุมที่อาจถูกละเลยในกระแสข่าว ซึ่งท่านเน้นย้ำว่า “การขอความเป็นธรรมให้กับทิดแย้ม ไม่ได้หมายความว่าปกป้องคนผิด แต่ควรพิจารณาจากข้อเท็จจริงโดยรอบด้าน”
คดีนี้ยังไม่จบ ความจริงยังไม่ปรากฏ
แม้คดีจะยังอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ชัดเจนว่าเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญของวงการพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการเงินวัด ความโปร่งใสในองค์กรสงฆ์ หรือแม้แต่กระบวนการสึกที่ต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ
ความเคลื่อนไหวจากพระปลัดศานิตย์ในวันนี้ อาจดูเหมือนเป็นเพียงการมาให้กำลังใจ แต่กลับเผยให้เห็นประเด็นลึกซึ้งหลายแง่มุมที่ควรค่าต่อการพิจารณาโดยไม่ตัดสินใครจากเพียงกระแสข่าวเพียงด้านเดียว
สุดท้าย ความจริงจะต้องปรากฏ และเมื่อวันนั้นมาถึง สังคมไทยจะได้บทสรุปที่ชัดเจนว่า ทิดแย้มคือเหยื่อ หรือผู้กระทำผิดกันแน่






















