อ่านคำพิพากษาเต็ม ศาลมีคำตัดสินประหารชีวิต แอม ไซยาไนด์
อ่านคำพิพากษาเต็ม ศาลมีคำตัดสินประหารชีวิต แอม ไซยาไนด์
ศาลได้มีคำพิพากษาประหารชีวิต แอม ไซยาไนด์ โดยระบุว่าหากเธอมีความบริสุทธิ์จริง ควรจะอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด และมีการวางแผนการกระทำผิดมาตั้งแต่ต้น
ในกรณีนี้ ศาลอาญาได้มีการนัดฟังคำพิพากษาคดีแอมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการวางยาฆ่าผู้อื่น โดยพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาของ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย ผู้เสียชีวิต ได้ร่วมกันฟ้องร้องและเรียกค่าเสียหายจำนวน 30 ล้านบาท โดยมีนางสรารัตน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อแอม ไซยาไนด์ เป็นจำเลยที่ 1 ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะที่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามี เป็นจำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช เป็นจำเลยที่ 3 ในข้อหาช่วยเหลือจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน โดยวันนี้ถือเป็นการพิพากษาคดีแรกจากทั้งหมด 15 คดี
ในคดีนี้ อัยการโจทก์ได้ยื่นฟ้องพฤติการณ์ความผิดของจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2566 นางสรารัตน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่านางสาวศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อย อายุ 32 ปี โดยใช้สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารพิษ ผสมลงในอาหารหรือน้ำดื่มในปริมาณที่ไม่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ตายดื่มหรือรับประทาน ขณะนั้นจำเลยที่ 1 และผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกันได้เดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังไม่ให้การช่วยเหลือผู้ตาย และได้นำทรัพย์สินของผู้ตายจำนวน 9 รายการ มูลค่า 154,630 บาท ไปซ่อนเร้นหรือทำให้สูญหาย โดยมีจำเลยที่ 3 ใช้หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามทรัพย์สินของผู้ตาย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้หลีกเลี่ยงโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษที่เบาลง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
จำเลยทั้งสามได้ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ขณะที่จำเลยที่ 2 และ 3 ได้รับการประกันตัวจากศาลในวงเงินคนละ 100,000 บาท
ศาลได้พิจารณาพฤติการณ์ของคดี โดยระบุว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 5 พฤษภาคม 2566 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับบัญชีอีก 10 บัญชี ซึ่งถูกตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก
ในปี 2564-2565 พบว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้จ่ายเงินจำนวนมากในการพนันออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีพยานที่เป็นผู้เสียหายซึ่งถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงให้วางยาลงในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล จนทำให้มีอาการเหมือนถูกพิษ
สำหรับการเสียชีวิตของนางสาวศิริพร หรือก้อย พบว่ามีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่แสดงถึงความผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้ผู้ตายเสียชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง รวมถึงจำเลยที่ 1 ยังอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ
หากมีความบริสุทธิ์จริง ควรจะอยู่ช่วยชีวิตผู้ตายจนถึงที่สุด หรือโทรแจ้งญาติของผู้ตายให้ทราบ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีการวางแผนล่วงหน้า นอกจากนี้ยังพบข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อไซยาไนด์อย่างเร่งด่วน ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับสารเคมี และยังพบยาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในรถยนต์ของผู้ตายในหลายจุด รวมถึงมีแคปซูลที่มีสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์ด้วย
สำหรับจำเลยที่ 2 มีประเด็นเกี่ยวกับการนำหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้จำเลยที่ 1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน
ในส่วนของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ไว้วางใจ ได้ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี และยังส่งคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ชนะคดีโดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น
จากพยานและหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึง 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนในคดีแพ่ง โจทก์ร่วมได้ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระให้โจทก์ร่วมเป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท
ศาลได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามรายได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยนางสรารัตน์ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยมีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อกระทำการอื่น และได้รับโทษประหารชีวิต
ในส่วนของ พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีและอดีตรองผู้กำกับการสถานีตำรวจสวนผึ้ง ซึ่งเป็นจำเลยที่สอง และน.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือทนายพัช จำเลยที่สาม ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาช่วยเหลือจำเลยที่หนึ่งโดยไม่ต้องรับโทษหรือได้รับโทษน้อยลง รวมถึงการซ่อนเร้นและทำลายหลักฐาน โดยทั้งสองคนได้รับโทษจำคุกคนละ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่สอง ได้ให้การเป็นประโยชน์ต่อศาล จึงได้รับการลดโทษลง 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน และต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมเป็นเงินจำนวน 2,400,000 บาทเศษ