ประเพณีฉุดสาว ของ ชาวม้ง
เมื่อโลกพัฒนาไปอีกก้าว ประเพณีฉุดสาว จึงกลายสภาพจากธรรมเนียมโบราณเป็นการตีตราพิธีกรรมที่ลิดรอนคุณค่าผู้หญิงแบบถึงที่สุด ทั้งการมองเป็นวัตถุที่แบกขึ้นกระบะไปไหนมาไหนก็ได้ รวมถึงการมองความสำคัญผู้หญิงเพียงแค่การหลับนอนกับผู้ชายแค่ครั้งเดียวในสายตาของพ่อแม่จนต้องยอมยกลูกสาวให้กับผู้ชายที่พรากไป
มีผู้หญิงมากมายที่ได้รับผลกระทบจากประเพณีนี้ ยกตัวอย่าง กรณีของน้องนก ผู้หญิงม้ง อีกคนหนึ่ง ซึ่งในช่วงปี 2547 เธออายุยังไม่ถึง 15 ปี เธอเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง และรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากนั้น ในช่วงปิดเทอม ผู้ชายคนนี้ก็ฉุดเธอไปโดยใช้กระสอบคลุม อุ้มขึ้นรถและข่มขืน พ่อแม่ของเธอมาตามหา มีการเจรจาระหว่างผู้ใหญ่ให้ญาติฝ่ายชายทำพิธีผูกข้อมือ หลังจากนั้น มีความเห็นกันว่า น้องนกหนีตามผู้ชาย และกลายเป็นภรรยาของผู้ชาย หากจะทำอะไรคัดค้านก็จะมีการเรียกปรับสินไหม ซึ่งเธอพยายามให้พ่อแม่รู้เรื่องทั้งการทำร้ายร่างกาย การบังคับขืนใจ และการกระทำอื่นๆ
จนท้ายที่สุด น้องนกตัดสินใจหนี และเล่าความจริงทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง จนนำไปสู่การแจ้งความร้องทุกข์ และดำเนินคดีกับฝ่ายชาย โดยผู้ชายคนนั้นก็ได้หยิบยกประเด็นวัฒนธรรมความเชื่อของชนเผ่าม้ง เรื่องการฉุดไปแต่งงาน ซึ่งศาลรับฟังและเห็นว่า เป็นการกระทำที่รุนแรง และผิดต่อเด็กและสตรี ฝ่ายชายจึงถูกตัดสินคดี และลงโทษตามความผิด ซึ่งบางรายบางกรณี หญิงม้งที่ถูกกระทำในลักษณะนี้ ยังต้องเผชิญกับปัญหาติดเชื้อเอชไอวี กระทั่งล้มป่วย เสียชีวิตไปก็มี ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกถึงการถูกกดขี่ และนี่ถือเป็นการละเมิดสิทธิสตรีอย่างรุนแรงที่ยากเกินเยียวยาด้วย
กลุ่มผู้หญิงม้ง รวมตัวเรียกร้องปกป้องสิทธิ ในนาม “เครือข่ายสตรีม้งแห่งประเทศไทย”
ต่อมา มีการรวมตัวของกลุ่มผู้หญิงม้งกันขึ้นมา โดยได้มีอบรมที่ศูนย์ผู้หญิงเพื่อสันติภาพและความยุติธรรม หรือ ศูนย์บ้านดินที่ อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ จนกระทั่ง นำไปสู่การทำโครงการวิจัยเครือข่ายผู้หญิงม้ง ของแผนสุขภาพผู้หญิง สสส.ที่สนับสนุนการทำวิจัยภาวะสังคมโดยชุมชนเอง
รัศมี ทอศิริชูชัย หัวหน้าโครงการวิจัยเครือข่ายผู้หญิงม้ง บอกว่า ได้เข้ามาเก็บข้อมูลในชุมชนแม่สาใหม่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 2547 พวกเธอเข้าไปคุยกับชาวบ้านพยายามนำเสนอโครงการเรื่องสิทธิผู้หญิง โดยเฉพาะประเด็นการยอมรับลูกสาวที่ไปแต่งงานแล้วหย่าให้กลับเข้ามามีสถานะสมาชิกครอบครัวตามเดิมภายใต้ชื่อ "โครงการรับลูกสาวกลับบ้าน"
เธอบอกย้ำว่า คำตอบที่ค้นพบแล้วว่ามีหนทางแก้ไขปัญหานี้ได้ นั่นก็คือการทำพิธี "ผู่" หรือ "รับลูกสาวกลับบ้าน" นั่นเอง