นักวิชาการกฎหมาย ชี้ การที่คนมาเคาะประตูจนเป็นเหตุให้ นศ.ป.เอก ตกตึกตาย ยังไม่เข้าข่ายฆ่าคนตายย่อมเล็งเห็นผล
""_____ การทุบที่ประตูห้องเช่าในเวลาดึก แล้วทำให้เจ้าของห้องปีนระเบียงหนีและทำให้พลัดตกจากอาคารเสียชีวิตนั้น ข้อเท็จจริงอย่างนี้ ส่วนตัวของ ADMIN เห็นว่า #ยังไม่เข้าข่ายเป็นความผิดฐานฆ่าโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล ตามมาตรา 59 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 288 ของ ป.อาญา
เหตุผล เพราะว่า การจะเป็น ""#เจตนาเล็งเห็นผล"" นั้น จะต้องมีข้อเท็จจริงว่า
"" ..... ผู้กระทำความผิด จะต้องเล็งเห็นผลได้ว่า #จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเท่าที่จิตใจของบุคคในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ .....""
(อ้างอิง = ให้ความหมาย โดย ดร.จิตฤดี วีระเวสส์)
ตัวอย่างของศาลฎีกา
[คดีตัวอย่างที่ 1.]
คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2060/2541
"" ..... ใช้อาวุธปืนลูกซอง ยิงไปที่ขวดสุรา #ซึ่งในขณะนั้นมีผู้เสียหายนั่งอยู่บนโต๊ะใกล้กับขวดสุราดังกล่าว กรณีเช่นนี้ จำเลยย่อมจะต้องเล็งเห็นผลได้อย่างแน่นอนว่า กระสุนปืนลูกซองจะต้องไปถูกผู้เสียหายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า (โดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล) .....""
วิเคราะห์ >> เห็นว่า >> กระสุนปืนลูกซอง #เป็นกระสุนปืนที่เมื่อยิงออกไปแล้วจะทำให้ลูกกระสุนกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้น แม้จำเลยจะอ้างว่าเป็นการยิงขวดสุราก็ตาม แต่ผู้เสียหายนั่งอยู่ใกล้ขวดสุรา จำเลยจะต้องเล็งเห็นผล (คาดหมาย) ได้ว่า #กระสุนลูงซองจะต้องถูกผู้เสียหายแน่นอน ซึ่งจากแนวฎีกานี้ จะมีข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบอยู่แล้ว ดังนี้
1. จำเลยทราบว่าปืนที่ตนเองใช้ยิงเป็นปืนลูกซอง ซึ่งก็คาดหมายว่าจำเลยก็จะต้องทราบว่า กระสุนปืนลูกซองนั้นเมื่อยิงออกไปแล้วจะกระจายเป็นวงกว้าง (ซึงคดีนี้จำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าตนเองไม่ทราบว่าเป็นปืนลูกซอง)
2. จำเลยทราบดีว่า ผู้เสียหายนั่งอยู่ใกล้กับขวดสุราที่ตนเองจะยิง (จำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่า ไม่ทราบว่ามีผู้เสียหายนั่งอยู่ตรงนั้น)
จากข้อเท็จจริง ทั้ง 2 ข้อ ทำให้เห็นว่า จำเลยรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว แม้จำเลยจะอ้างว่ามีเจตนาจะยิงขวดสุราเท่านั้นก็ตาม #แต่ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่า การกระทำของจำเลยนั้น เป็นความผิดฐานใด
[คดีตัวอย่างที่ 1.]
คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 4563/2543
"" ..... จำเลยถอดกางเกง แล้วเดินไปหาผู้ตาย (ผู้หญิง) เพื่อที่จะข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งในขณะที่จำเลยเดินถอดกางเกงเดินไปหานั้น #ผู้ตายยืนพิงระเบียงอาคารอยู่ และระเบียงอยู่สูงเพียง #ระดับสะโพกของผู้ตาย การที่จำเลยเดินเข้าไปจะข่มขืนผู้ตายเช่นนั้น จำเลยย่อมจะต้องเล็งเห็นว่า #ผู้ตายจะต้องขัดขืน และการขัดขืนในขณะที่ผู้ตายยืนพิงระเบียงอยู่นั้น อาจจะทำให้ผู้ตายพลัดตกจากระเบียงได้ เมื่อผู้ตายพลัดตกจากระเบียง จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา (ย่อมเล็งเห็นผล) .....""
วิเคราะห์
1. จำเลยมีเจตนาจะข่มขืน ซึ่งการข่มขืนจะต้องมีการใช้กำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง #และจำเลยทราบว่าจะต้องใช้กำลัง
2. ผู้เสียหายจะต้องมีการขัดขืนและต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการถูกข่มขืน #และจำเลยทราบว่าผู้ตายจะต้องขัดขืน
3. ขณะนั้น ผู้ตายยืนพิงระเบียงอาคารอยู่ #และจำเลยทราบว่าผู้ตายยืนพิงระเบียง
4. ระเบียงมีความสูงในระดับสะโพกของผู้ตายเท่านั้น #และจำเลยเห็นถึงความสูงของระเบียงแล้วในขณะนั้น
5. การต่อสู้หรือใช้กำลังหรือขัดขืน ในขณะที่ผู้ตายยืนพิงระเบียงนั้นมีโอกาสที่ผู้ตายจะพลัดตกจากระเบียงได้ #ซึ่งจำเลยสามารถคาดหมายได้
จากข้อเท็จจริง ทั้ง 5 ข้อ เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว แม้จำเลยจะอ้างว่ามีเจตนาจะข่มขืนกระทำขำเราเท่านั้นก็ตาม แต่การวินิจฉัยว่าการะทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใด เป็นอำนาจของศาล
และจากการตรวจสอบ ของ ADMIN พบว่า คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งหมดที่วินิจฉัยถึง ""เจตนาย่อมเล็งเห็นผลนั้น "" จะพบว่า ""จำเลยจะต้องรู้หรือทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด"" ศาลจึงจะนำเรื่องของ เจตนาย่อมเล็งเห็นผลมาใช้ปรับแก่คดี #หากจำเลยไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด จะถือว่าจำเลยจะต้องเล็งเห็นผลนั้น #ย่อมจะไม่ถูกต้อง
ลองดูตัวอย่างฎีกา #ที่ดูเผินๆ เหมือนว่า #จำเลยน่าจะไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือไม่ แต่ศาลให้เหตุผลว่า จำเลยรู้หรือน่าจะรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดได้ เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 4924/2547 วินิจฉัยว่า
"" ..... จำเลย ยิงปืน เข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลแล้ว .....""
วิเคราะห์
1. จำเลยทราบว่า บ้านหลังดังกล่าว #มีคนอยู่อาศัย (จำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าเป็นบ้านร้างหรือบ้านที่ไม่มีคนอยู่)
2. จำเลยทราบว่า ในขณะที่ตนเองยิงปืนเข้าไปในบ้านนั้นเป็นเวลากลางคืนซึ่ง #เป็นช่วงที่คนทั่วไปหลับนอนกันอยู่ในบ้าน (เมื่อจำเลยทราบว่าเป็นบ้านที่มีคนอยู่ ก็ถือว่าต้องทราบว่า ในเวลาดังกล่าวก็จะต้องมีคนอยู่เช่นกัน เพราะเป็นเวลากลางคืน อันถือว่าคนทั่วไปจะต้องกลับมาที่บ้านและนอนอยู่ในบ้าน)
3. จำเลยทราบว่า ปืนที่ตนเองใช้ยิงนั้น ทำให้คนตายได้ ซึ่งจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าปืนของตนเองทำให้คนตายไม่ได้
ดังนั้น จากข้อเท็จจริงทั้ง 3 ข้อ เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว แม้จำเลยจะอ้างว่าการยิงปืนเข้าไปในบ้าน ไม่ได้มีเจตนาฆ่าก็ตาม แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยได้เองไว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ โดยอาศัยข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ในคดี
นอกจากนี้ยังมีแนวฎีกา ที่วินิจฉัยเรื่อง เจตนาย่อมเล็งเห็นผลอีกหลายคดี ซึ่งทุกคดีนั้น จะต้องได้ความว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงด้วยจึงจะปรับบทกฎหมายเรื่องเจตนาย่อมเล็งเห็นผลได้
(อาทิ ฎ.15/2529,2720/2528,1178/2539,1398/2541)
**>> แต่ถ้าจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด<<**
กรณีนี้ จะต้องถือว่า จำเลยไม่เจตนา ไม่ว่าจะเจตนาโดยตรง หรือเจตนาเล็งเห็นผล
ตัวอย่าง เช่น
"" ..... จำเลยขับรถไม่เร็วนัก ประกอบกับถนนมีสภาพที่คับแคบ โดยข้างหนึ่งเป็นคลอง และอีกข้างเป็นเขา จำเลยไม่อาจจะขับรถให้ห่างจากคลองได้มากนัก เพราะอีกข้างของถนนเป็นเขาจะเกิดอันตรายได้ การที่ล้อรถเอียงเพราะถนนบริเวณนั้นมีหลุมและมีหินกองไว้ แต่แม้รถจะเอียง แต่รถก็ไม่ได้คว่ำ #การที่ผู้ตายด่วนตัดสินใจกระโดดลงจากรถไปเองนั้น จึงเป็นเรื่องที่ #จำเลยไม่อาจจะคาดหมายได้ และไม่ถือว่าจำเลยประมาท .....""
วิเคราะห์
1. สภาพของถนน ทั้งจำเลย และผู้ตายต่างก็ทราบดี ว่าถนนมีสภาพอย่างไร ซึ่งประเด็นนี้ ไม่ได้มีการนำสืบให้เห็นว่าผู้ตายไม่ทราบ
2. รถมีลักษณะเพียงแค่เอียง มิใช่กำลังจะคว่ำ ซึ่งประเด็นนี้ โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า #เอียง กับ #กำลังจะคว่ำ แตกต่างกัน จึงต้องฟังว่า เป็นเพียงแค่รถเอียงตามสภาพของถนนเท่านั้น
3. การที่ผู้ตายกระโดดลงจากรถนั้น เป็นการกระโดดลงไปโดยที่จำเลยไม่ทราบมาก่อน #ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทราบ หรือผู้ตายมีการบอกแก่จำเลยมาก่อน
จากข้อเท็จจริงทั้ง 3 ข้อ เห็นว่า #จำเลยไม่มีโอกาสจะทราบได้เลยว่าผู้ตายจะโดดจากรถ และข้อเท็จจริงก็เป็นเพียงแค่รถเอียง มิใช่รถกำลังจะคว่ำ ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจจะคาดหมายหรือเล็งเห็นผลอะไรได้เลย จึงไม่ถือว่าจำเลยเจตนา และไม่ถือว่าจำเลยประมาทด้วย
>> ดังนั้น #กรณีคดีตามข่าว << ส่วนตัวของ ADMIN เห็นว่า ผู้กระทำความผิด #ไม่อาจจะทราบได้เลยว่าผู้ตายจะไปปืนระเบียง และผู้กระทำความผิดก็ #ไม่ได้เห็นสภาพภายในห้องของผู้ตายว่าเป็นแบบใด และผู้กระทำความผิด #ไม่เห็นว่าในขณะที่ตนเองไปทุบประตูนั้นผู้ตายอยู่ในลักษณะใด ดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก การกระทำของผู้กระทำความผิดในคดีนี้ #ก็ไม่เข้าขาย เป็นความผิดฐาฆ่าโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล และก็ยังไม่เข้าข่ายกระทำโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วย
ดังนั้น การจะแจ้งข้อหาผู้กระทำความผิด ก็จะต้องแจ้งโดยต้องอาศัยพยานหลักฐาน และศึกษาแนวการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลประกอบด้วย #ไม่ควรแจ้งข้อหาตามกระแสหรือแรงกดดัน เพราะนอกจากจะไม่ยุติธรรมแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์ดังเจตนารมณ์ของกฎหมาย _____""
#คดีโลกคดีธรรม
อ้างอิงจาก: fb กลุ่ม คดีโลก คดีธรรม