ผลวิจัยใหม่ชี้ "มีน้ำหนักเกินไม่เกี่ยวข้องกับ การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร"
สื่อนอกรายงานว่า "รายงานผลการศึกษาใหม่พบว่า "การมีน้ำหนักเกินตามที่กำหนด โดยดัชนีมวลกาย [BMI] อาจไม่เชื่อมโยงกับโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เมื่อพิจารณาแยกจากปัญหาสุขภาพอื่นๆ"
โดย "นายแพทย์ "อยุช วิซาเรีย" ซึ่งเป็นแพทย์ประจำสาขาอายุรศาสตร์ ที่คณะแพทยศาสตร์โรเบิร์ตวูดจอห์นสัน ของมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ในเมืองนิวบรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศอเมริกา กล่าวว่า "สาระที่แท้จริงของการศึกษานี้ คือ การมีน้ำหนักตัวเกินโดยนิยามตามค่า BMI นั้น ไม่ดีพอจะใช้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการเสียชีวิต" และ "ค่า BMI โดยทั่วๆไป ก็ไม่ดีพอจะใช้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพ" และ "ควรใช้ข้อมูลด้านสุขภาพอื่นๆมาประกอบด้วย เช่น รอบเอว การวัดไขมันในรูปแบบอื่นๆ และ รูปแบบน้ำหนัก"
การศึกษาดังกล่าว ถูกตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ "PLOS ONE" เมื่อวานนี้ โดยนักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมจากชาวอเมริกัน ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี จำนวน 554,000 คน จากแบบสำรวจสัมภาษณ์สุขภาพแห่งชาติปี 1999-2018 และ ดัชนีการเสียชีวิตแห่งชาติของอเมริกาปี 2019 จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบกับระดับ BMI กับการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ดำเนินการโดย "อยุช วิซาเรีย" และ ผู้เขียนร่วม แพทย์หญิง "โซโกะ เซโตกุจิ" ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรเบิร์ต วูดจอห์นสัน และ คณะสาธารณสุขรัตเกอร์ส จากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ ระบุว่า "ความเสี่ยงของการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 18%-108% สำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีค่า BMI สูงกว่า 27.5 โดยความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นกราฟเส้นโค้งรูปตัวยู อย่างไรก็ตามไม่มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปที่มีค่า BMI ระหว่าง 22.5-34.9 ซึ่งเป็นช่วงที่รวมทั้งน้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน ไปจนถึงภาวะอ้วน"
"อยุช วิซาเรีย" กล่าวว่า "การค้นพบที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ที่มีอายุ 20-65 ปีที่มีค่า BMI ระหว่าง 24.5-27.5 ซึ่งเป็นระดับล่างสุดของช่วงน้ำหนักเกินนั้น ไม่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" และ "ข้อจำกัดของการศึกษาครั้งนี้ว่า แม้ว่าการศึกษาจะมีการควบคุมตัวแปรการสูบบุหรี่และโรคอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกรวบรวมเพียงครั้งเดียว สำหรับแต่ละคนในการสำรวจ ดังนั้นการศึกษาจึงไม่สามารถติดตามได้ว่าบุคคลนั้นๆ มีภาวะอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในภายหลังหรือไม่? นั่นเอง"