เรื่องราวสุดพิสดารของสาวน้อย จูลี่แอน เคิ้ปเค่ (Juliane Koepcke)
เรื่องราวสุดพิสดารของสาวน้อย จูลี่แอน เคิ้ปเค่ (Juliane Koepcke) เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 1954 (ปัจจุบันอายุ 66 ปี) ณ กรุงลิม่า ประเทศเปรู เธอเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของ พ่อฮันส์ วิลเฮล์ เคิ้ปเค่(Hans-Wilhelm Koepcke) และแม่ มาเรีย เคิ้ปเค่ (Maria Koepcke) นักสัตววิทยาชาวเยอรมัน
พอจูลี่แอนอายุได้ 14 ปี พ่อและแม่ของเธอก็ตัดสินใจย้ายจากกรุงลิม่า ไปตั้งศูนย์วิจัยกลางป่าอเมซอนชื่อว่า Panguana เพื่อศึกษาพันธุ์สัตว์ป่า แน่นอนเธอเองก็ติดสอยห้อยตามผู้ปกครองไปด้วย

ในป่าอเมซอนไม่มีโรงเรียนมัธยม มีแต่โรงเรียนชีวิตจริง จูลี่แอนถูกสอนการดำรงชีพในป่าโดยพ่อกับแม่ของเธออยู่ 2 ปี ถ่ายทอดให้จนหมดทั้งวิธีการสังเกตสัตว์, การเอาตัวรอดในพงไพร และการป้องกันตัวเองจากแมลง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาพบเธอเข้า จึงบังคับให้พ่อและแม่พา จูลี่แอนกลับไปเข้าโรงเรียนในระบบที่กรุงลิม่าดังเดิม

ครั้น จูลี่แอนเรียนจบมัธยมปลาย คุณแม่มาเรียเห็นสมควรแก่เวลาจะพาลูกกลับไปอยู่ป่า เธอวางแผนบินกลับศูนย์วิจัยในวันที่ 20 ธันวาคม 1971 แต่จูลี่แอนขอร้องให้อยู่ร่วมพิธีจบการศึกษาในวันที่ 22 ธันวาคมก่อน แม่ของเธอก็เห็นด้วยจึงเลื่อนวันกลับเป็นคืนคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม แทน
เมื่อถึงวันบิน ปรากฏว่าเที่ยวบินทุกเที่ยวเต็มหมด เหลือเพียงสายการบินโลว์คอสอันมีชื่อเสียงด้านความปลอดภัยไม่ดีนักชื่อ Líneas Aéreas Nacionales South America (LANSA) เท่านั้น

หลังจากคุยกันทางโทรศัพท์กับสามีที่อยู่ในป่า Wilhelm ออกอาการไม่เห็นด้วยอย่างแรงที่จะให้ลูกเมียเดินทางกับสายการบินนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ทุกคนจึงจำใจไปเสี่ยงเอาดาบหน้า
เวลา 11:00 น. เจ้าหน้าที่สนามบินร้องเรียกให้ผู้โดยสารเที่ยวบิน LANSA 508 ขึ้นเครื่องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ จูลี่แอนและแม่จะขึ้นไปนั่งในแถวที่ 2 จากท้ายสุด โดยเด็กสาวนั่งติดหน้าต่างทางขวา แม่ของเธอนั่งกลาง และมีชายร่างใหญ่นั่งทางฝั่งซ้ายติดกับทางเดิน

ไม่นานเครื่อง Lockheed L-188A ก็เร่งเครื่องเต็มกำลัง ส่งสามล้อเหล็กพ้นพื้นดิน ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปตามปกติ การเดินทางแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกระยะทาง 489 กม.ไปเมือง Pucalpa ในเวลา 70 นาที ซึ่งผ่านไปได้โดยสวัสดิภาพ เด็กสาวและแม่ดูจะเอนจอยกับอาหารบนเครื่องซึ่งเสิร์ฟแซนด์วิชเป็นพิเศษ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงที่สองได้ประมาณ 10 นาที

ท้องฟ้าภายนอกเครื่องบินจากเคยสว่างจ้าจนต้องใส่แว่นกันแดด ก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดดำราวกับเวลากลางคืน ใช่แล้ว ไฟลท์ LANSA 508 กำลังบินเข้าสู่ใจกลางพายุ ฟ้าแลบแปลบปลาบด้านนอกเครื่องตลอดเวลา ข้าวของที่เก็บไว้เหนือหัวบ้างหล่นลงมา เครื่องตกหลุมอากาศใหญ่หลายครั้งจนทุกคนรู้สึกเหมือนไม่มีลำไส้ ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระงมทั่วทั้งลำ

“หวังว่าเราจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ” แม่ของเธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และเปรี้ยงง!! เสียงดังกัมปนาทถึงขั้นทำให้ทุกคนหูดับ ตามมาด้วยแสงสว่างวาบสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารมากขึ้นไปอีก เครื่องบินเคราะห์ร้ายถูกฟ้าผ่าลงมาที่ปีกขวาตรงจุดถังน้ำมัน ทำให้เกิดแรงระเบิดเปิดตัวเครื่องเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ จูลี่แอนได้ยินแม่ของเธอร้องไห้และพูดเบาๆว่า

“การเดินทางของเราคงจบตรงนี้แล้วล่ะ” สิ้นเสียงสุดท้ายของแม่ เครื่อง Lockheed L-188A ก็ปักหัวลงอย่างรวดเร็ว เสียงแห่งความเงียบจากเครื่องยนต์สองข้างที่ดับสนิท เธอลืมตามองไปข้างกายจึงพบว่า แม่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
อันที่จริง เธอไม่ได้อยู่บนเครื่องบินแล้วต่างหาก! จูลี่แอนร่วงหล่นจากความสูง 11,000 ฟุต ตัวล็อคแน่นติดกับเก้าอี้โดยสาร ขณะอยู่กลางอากาศ เธอบอกว่ามันช่างเงียบเชียบและมองไม่เห็นวิวอะไรทั้งสิ้น สติสัมปชัญญะของเธอวูบหายไปเมื่อไหร่ไม่รู้

ในห้วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้น เธออยากจะลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนุ่มอันอบอุ่นของเธอ หวังให้ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝันร้าย อีกไม่กี่อึดใจเธอก็คงได้ยินเสียงบ่นของแม่ เร่งร้องให้รีบตื่นไปโรงเรียนเสียที

แต่เมื่อลืมตา เธอก็ยังดำดิ่งสู่ความตาย นี่คือเรื่องจริง จูลี่แอนอยู่ในสภาพหัวปักพื้น และสัมผัสกับยอดไม้แห่งป่าทึบเปรูเข้าอย่างจัง แรงเสียดทานเพิ่มมากขึ้นและเธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย ก่อนจะหมดสติไป

จูลี่แอนตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่กลางป่าดงดิบ ตัวเธอหลุดออกจากเก้าอี้แล้ว อาจเพราะตื่นมาปลดเข็มขัดออกโดยไม่รู้ตัว เธอเริ่มคลานไปรอบๆ ทั้งที่มองเห็นไม่ชัดเพราะดวงตาขวาบวมปูด ก่อนจะสลบไปอีกครั้งเป็นเวลานานถึง 19 ชั่วโมง

รอดชีวิตอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอร่วงจากเครื่องบินความสูงนับหมื่นฟุตโดยไร้ชูชีพ แต่ใครจะรู้ว่า วิบากกรรมของจูลี่แอนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อและกิตติศัพท์ของป่าอเมซอนกันมาบ้าง

เนื้อที่ 5,500,000 ตร.กม. อันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด บนบกมีงูอนาคอนด้า, ในน้ำมีปลาปิรันญ่า และในอากาศก็เต็มไปด้วยแมลงนานา การจะเอาชีวิตรอดในป่านี้ได้คุณต้องเป็น แบร์ กริลส์ (ผู้เชี่ยวชาญการดำรงชีพในพื้นที่ยากลำบาก) หรือไม่คุณก็ต้องถูกสอนให้อยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก โชคยังดีที่จูลี่แอนมีคุณสมบัติข้อหลัง

อย่างไรก็ตาม จูลี่แอนเป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 17 แถมยังได้รับบาดเจ็บหลายแห่งจากการเหตุการณ์เครื่องบินตก เธอปวดช่วงคอ หลัง และเอว, มีแผลถูกบาดโดยชิ้นส่วนเครื่องบินค่อนข้างลึกที่แขนขวา แถมยังมองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะสายตาสั้น

เธอพยายามร้องเรียกหาแม่ของเธอและคนอื่น ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียงสัตว์ป่าร้องกันเซ็งแซ่ ในช่วงวันแรก จูลี่แอนต้องอาศัยการดื่มน้ำจากใบไม้ประทังชีวิต สัญญาณแห่งความหวังมาถึงในวันที่ 3 เมื่อเธอได้ยินเสียงเครื่องบินค้นหาบินผ่านเหนือหัวไป แต่ด้วยยอดไม้รกทึบ ทำให้โอกาสในการพบเธอนั้นแทบไม่มีเลย เธอจึงกำหนดเป้าหมายแรก คือออกไปสู่พื้นที่โล่งให้ได้
หลังตัดสินใจเดินตะลุยป่ารกชัฎ เธอใช้วิธีที่พ่อสอนมาคือ ปารองเท้าไปข้างหน้าเพื่อให้งูตกใจหนี ก่อนจะเดินไปเก็บและปาต่อไปเรื่อย ทีละก้าว ทีละก้าว อาหารเพียงอย่างเดียวตอนนี้คือลูกอมถุงหนึ่งที่เก็บได้จากซากเครื่องบิน หลังจากเดินอย่างมุ่งมั่นหนึ่งวันเต็ม เธอก็พบเข้ากับลำธารเล็กๆ และระลึกถึงคำสอนของพ่อแม่

“หากลูกหลงป่าและเจอลำธาร จงเดินตามไป มนุษย์จะอยู่ไม่ไกล” จูลี่แอนเดินไปเรื่อย จนลำธารเริ่มกลายเป็นคลองใหญ่ แต่ของกินเธอเริ่มร่อยหรอเหลือลูกอมเพียงไม่กี่ชิ้น ทำให้แรงในการเดินน้อยลงทุกที อีกทั้งสภาพภูมิประเทศและอากาศก็โหดร้ายมาก ฝนตกตลอดวัน พอฝนหยุดก็มาพร้อมความหนาวและยุงป่า อีกสิ่งหนึงที่น่ากลัวคือ เริ่มมีแมลงวันเข้าไปวางไข่เล็กๆ ในแผลที่แขนขวาของเธอแล้ว
ด้วยความกลัวว่าแขนจะเน่าและเสียแขนไป เธอพยายามรีดแผลอย่างรุนแรงเพื่อให้หนอง, เลือด และไข่แมลงวันหลุดออกมา เจ็บปวดทรมานแต่ก็ไม่สามารถทำให้ไข่ที่ฝังแน่นหลุดออกมาได้เลย
สักพักเธอก็สังเกตเห็นนกแร้งเกาะอยู่บนซากอะไรสักอย่าง มันคือซากเครื่องบินไฟลท์ LANSA 508 นั่นเอง เมื่อ จูลี่แอนเข้าไปสำรวจเธอก็พบศพผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง สร้างความหดหู่ใจให้เธอยิ่งนัก
ในวันที่ 6 ของการเดินทาง จูลี่แอนได้ยินเสียงร้องของนก Hoatzin นกชนิดนี้มักหากินอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ เธอรู้ทันทีว่าเธอใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ซึงก็จริง ในที่สุดเธอก็มาถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ การเดินทางอันโหดร้ายจะได้จบเสียที
แต่เธอคิดผิดถนัด… สิ่งที่เธอควรจะเจอคือมนุษย์ที่สามารถช่วยเธอได้ แต่ก็ไร้วี่แวว จูลี่แอนได้ยินเสียงเครื่องบินค้นหาอยู่บ้าง ก่อนค่อยๆเงียบหายไป บ่งบอกได้ว่าทางการยกเลิกการค้นหาซากเครื่องบินแล้ว เพราะสภาพแวดล้อมอันยากลำบาก
ความหวังของเธอเริ่มเลือนลาง แผ่นดินลุ่มแม่น้ำที่เธอใช้ชีวิตอยู่ก็หดเล็กลงเพราะน้ำขึ้น ที่สุดเธอก็ต้องลงไปอยู่ในน้ำตื้น และเมื่อเท้าลงน้ำ อันตรายก็คืบคลานเข้ามา จระเข้อเมซอน, ปลากระเบน และปลาปิรันญ่า คือแขกขาประจำที่แวะมาเยี่ยมเยียนเธอทุกวัน ซึ่งวิธีเอาตัวรอดจากพวกมันก็เหมือนตอนท่านผู้อ่านยังเป็นเด็ก คือการเล่นจรเข้ขึ้นบก ต้องรีบหนีให้ทันไม่งั้นโดนลากลงไปแน่
อยู่ตรงนั้นได้พักใหญ่ จูลี่แอนก็ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า โดยรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีว่ายน้ำไปเกาะซุงท่อนใหญ่ที่ลอยมา และลอยไปตามกระแสน้ำอเมซอน ปล่อยชีวิตไว้กับลิขิตพระเจ้า
ไม่นานเธอก็เห็นกระท่อมริมน้ำหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปสำรวจก็พบน้ำมันหนึ่งแกลลอน จูลี่แอนรีบหยิบน้ำมันนั้นมาราดตัวเธอเพื่อฆ่าเชื้อโรค และได้ผล ตัวหนอนแมลงวันที่อยู่ในแขนเธอไหลออกมาอย่างน่าอัศจรรย์

เธอตั้งใจพักแรม ณ กระท่อมน้อยเป็นเวลา 2-3 วัน ในระหว่างนั้นก็พยายามไล่จับกบที่กระโดดอยู่รอบๆเป็นอาหาร เธอช้าเกินไปจึงจับไม่ได้สักตัว แต่นั่นก็นับเป็นโชคดีของเธอ เพราะมันคือกบพิษมีฤทธิ์ถึงตาย
เช้าวันออกเดินทาง จูลี่แอนตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน ในตอนแรกเธอคิดว่าคงประสาทหลอนเหมือนเคย แต่แล้วก็ปรากฎร่างของชายตัดไม้ 3 คน! ทุกคนอยู่ในอาการช็อกรวมถึง จูลี่แอนด้วย น้ำตาไหลริน ชายเหล่านี้คือคนที่เธออยากเจอมากที่สุดในชีวิต หลังได้สติทั้งสามจึงช่วยกันพา จูลี่แอนที่อยู่ในสภาพใกล้ตายเต็มทีส่งโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน
เธอถูกส่งถึงมือหมอ และได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด…เด็กสาวฟื้นตัวจากอาการป่วยทางกายอย่างรวดเร็ว แต่รอยแผลเป็นทางใจนั้นยังคงอยู่ เธอคิดถึงแม่ ด้วยไม่รู้แม้ชะตากรรมของแม่เธอ เธอคิดถึงพ่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าข่าวของเธอจะถูกส่งไปถึงเขาไหม
ก๊อก ก๊อก… ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาภายในห้อง จูลี่แอนจำเขาได้ในทันที พ่อและลูกโผกอดกันไม่มีแม้แต่คำพูดสักคำ คงไว้เพียงน้ำตาแห่งความดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งในชีวิต แต่ก็มาพร้อมกับข่าวเศร้า

มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ LANSA ไฟลท์ 508 ตก 91 คน เป็นลูกเรือ 6 คน และผู้โดยสาร 85 คน มีผู้รอดชีวิต 1 คน คือชื่อ Juliane Koepcke
ไม่ว่าปัญหาของท่านผู้อ่านจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ขอจงอย่าทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป ปาฏิหารย์เกิดขึ้นได้เสมอ…เกร็ดเล็ก: นักบินถูกกดดันจากความหวังของผู้โดยสารที่ต้องการกลับไปฉลองวันหยุดคริสต์มาสกับครอบครัว ทำให้พวกเขาตัดสินใจเสี่ยงบินฝ่าพายุ นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมในที่สุด
เกร็ดน้อย: หลังการสืบสวนพบว่า มาเรียแม่ของเธอรอดชีวิตจากการตกสู่พื้น แต่เสียชีวิตเพราะอาการบาดเจ็บและความโหดร้ายของป่าอเมซอน

สรุปแล้ว: จูลี่แอนต้องต่อสู้ชีวิตท่ามกลางป่าเขาที่มีสัตว์ดุร้ายนานาชนิดนานถึง 11 วัน

อ้างอิงจาก: https://www.xn--42c2dgos8bxc2dtcg.com/234755/?utm_source=category&utm_medium=internal_referral






















