ศาลสั่งระงับบางส่วนคำสั่งประธานาธิบดีทรัมพ์ให้ปล่อยตัวผู้อพยพจากสนามบิน-ห้ามส่งกลับ
ประชาชนที่ลงจากเครื่องบินที่ John F. Kennedy International Airport ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2017 เดินผ่านกลุ่มประท้วงที่ห้ามไม่ให้ผู้อพยพเข้าสหรัฐ (AP Photo/Craig Ruttle)
ศาลสั่งระงับคำสั่งบางส่วนของทรัมพ์ที่ห้ามผู้อพยพและคนอีก 7 ประเทศเข้าสหรัฐ ให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังที่สนามบินรวมทั้งห้ามส่งกลับประเทศเดิม เผยมีทั้งนักศึกษา นักวิชาการ นักธุรกิจฝ่ายบริหาร ผู้นำศาสนาที่ไปเยี่ยมบ้านแล้วกลับเข้าสหรัฐไม่ได้ ถือเป็นการถ่วงดุลย์อำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับตุลาการ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตันว่าเมื่อเย็นวันที่ 28 มกราคม 2017 ผู้พิพากษาแอนน์ เอ็ม.ดอนเนลลี แห่งศาลชั้นต้นรัฐบาลกลาง เขตบรู้คลิน นิวยอร์กไต่สวนฉุกเฉินกรณีทนายยื่นฟ้องให้ระงับคำสั่งประธานาธิบดีทรัมพ์หรือคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) โดยผู้พิพากษาตัดสินก่อนเวลา 21.00 น.เล็กน้อยเพื่อให้ปล่อยตัวบุคคลระหว่าง 100-200 รายที่ถูกกักตัวอยู่บริเวณสนามบินต่างๆในสหรัฐอีกทั้งไม่ให้ส่งกลับประเทศเพราะจะเกิดอันตราย
ภายหลังจากที่ฝูงชนจำนวนหนึ่งรอฟังคำพิพากษาต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ”
คดีนี้เกิดขึ้นหลังจากนายดอนัลด์ ทรัมพ์ประธานาธิบดีสหรัฐลงนามในคำสั่งของฝ่ายบริหาร เมื่อเวลา 14.42 น.วันที่ 27 มกราคม 2017 ระบุว่าให้ระงับการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐของกลุ่มผู้ลี้ภัยอพยพทั้งหมด (all refugees) เป็นเวลา 120 วัน แต่ห้ามชาวซีเรียเดินทางเข้าสหรัฐไม่มีกำหนด พร้อมกับสั่งระงับการเข้าประเทศของพลเมือง 7 ประเทศประกอบด้วยอิหร่าน,อิรัก,ลีเบีย,โซมาเลีย,ซูดาน,ซีเรียและเยเมน ทั้ง 7 ประเทศเป็นประเทศมุสลิมอีกทั้งเกิดสงครามสู้รบในหลายประเทศ
เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิหรือ The Department of Homeland Security เปิดเผยว่าคำสั่งนี้ห้ามไปถึงผู้ถือใบเขียวจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวแจ้งแก่ผู้สื่อข่าวว่าผู้ถือใบเขียว 7 ประเทศนี้ก่อนจะกลับเข้าสหรัฐจะมีการพิจารณาเป็นรายไป โดยบรรดาผู้ถือใบเขียว 7 ประเทศจะต้องเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่กงสุลอเมริกันในประเทศนั้นๆก่อนที่จะเดินทางกลับเข้าสหรัฐ
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ให้ทนายยื่นฟ้อง
ภายหลังจากนั้นผู้ได้รับความเสียหาย 2 คนประกอบด้วย นายฮามี๊ด คาลิค ดาร์วีช (Hameed Khalid Darweesh) และนายฮายเดอร์ ซามีร์ อับดุลคาเล็ค อัลชาวี (Haider Sameer Abdulkhaleq Alshawi)เป็นโจทก์ให้ทนายยื่นฟ้องประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมพ์,กระทรวงความมั่นคงภายใน,สำนักงานศุลกากรและคนเข้าเมือง เป็นต้น
ทนายความแจ้งต่อศาลด้วยว่าขณะนี้มีหลายรายถูกส่งตัวกลับ ส่วนบุคคลที่เดินทางมาถึงก็ถูกนำตัวเข้าควบคุมในสถานที่กักกันบริเวณสนามบินเพื่อทำตามคำสั่งประธานาธิบดี เป็นเหตุให้ผู้พิพากษาดอนเนลลีออกคำสั่งให้ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมและห้ามส่งกลับ “หากยังมีบางคนไม่ได้รับการปล่อยตัว ฉันคิดว่าคงจะได้รับฟังจากคุณอีก”
คำฟ้องให้เหตุผลว่าคำสั่งของประธานาธิบดีละเมิดกฎหมายคนเข้าเมืองปี 1965 ที่ห้ามไม่ให้เลือกปฏิบัติต่อผู้อพยพอันเนื่องมาจากประเทศถิ่นกำเนิด(The class action lawsuit sought an immediate injunction barring the Trump administration from blocking immigrants based on the executive order. It argued that the order violates a 1965 law that banned discrimination in immigration based on national origin.)
คำพิพากษาของผู้พิพากษาดอนเนลลี ระบุว่าเจ้าหน้าที่จะต้องไม่หยุดทำงานในการพิจารณาเอกสารยื่นขอเข้าประเทศสหรัฐ,บุคคลผู้ถือวีซ่าเข้าประเทศอย่างถูกต้อง,บุคคลที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศอย่างถูกกฎหมาย(ถือใบเขียว)แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะระบุว่ามาจากประเทศที่ห้ามเข้า
คนจาก 7 ประเทศล้วนทำงานให้สหรัฐ
รายงานข่าวเปิดเผยว่าคำสั่งประธานาธิบดีถือเป็นคำสั่งรวมไม่มีการยกเว้น จึงทำให้บุคคลผู้ถือใบเขียวและทำงานให้กับสหรัฐมานานถูกห้ามเข้าประเทศ อาทิเช่นนักวิทยาศาสตร์อิหร่านทำงานในห้องแล็ปที่แมสซาชูเส็ทท์ก็ถูกห้ามเข้า,ครอบครัวผู้อพยพจากซีเรียหวังที่จะมาสร้างชีวิตใหม่ในรัฐโอไฮโอ้ก็ถูกกักกัน
นายฮามี๊ด คาลิค ดาร์วีช ที่ยื่นฟ้องคำสั่งประธานาธิบดีนั้นเป็นชาวอิรักและเป็นล่ามให้รัฐบาลสหรัฐในอิรักมากว่า 10 ปี ได้รับการปล่อยตัวหลังจากถูกควบคุมประมาณ 19 ชั่วโมงเพราะเขาลงเครื่องบินมาในช่วงที่คำสั่งมีผลบังคับใช้พอดี นายดาร์วิชกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำตานองพร้อมกับแสดงให้เห็นว่าเขาถูกจับมือไขว้หลังแถมถูกสวมกุญแจมือด้วย
“รู้ไหมว่าผมทำอะไรให้ประเทศนี้บ้าง ทำไมมาสวมกุญแจมือผม”นายดาร์วิชตั้งคำถาม “คุณรู้หรือไม่ ผมจับมือทหาร(อเมริกัน)มาไม่รู้เท่าไหร่ ด้วยมือนี้”
ขณะที่นายอัลชาวีผู้ร่วมเป็นโจทก์อีกคนก็ได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับฮิวสตัน
นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาที่เดินทางกลับจากไปเยี่ยมญาติถูกกักตัวที่สนามบินจำนวนมาก บางรายทวิตขึ้นบอกเพื่อนๆว่าเขาไม่อาจกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Yale ได้ บางรายจะต้องกลับเข้าไปเรียนที่ MIT (Massachusetts Institute of Technology) ขณะที่นักศึกษาระดับปริญญาโทจากซูดานไม่อาจเข้าประเทศได้จะต้องไปเรียนต่อที่ Stanford University
กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่คอยให้ความช่วยเหลือเปิดเผยว่านักศึกษาเหล่านี้กลับไปบ้านเพื่อร่วมงานศพ,ไปเยี่ยมญาติหรือไปค้นคว้าในต่างประเทศ เมื่อถึงเวลากลับเดินทางเข้าสหรัฐไม่ได้เพราะคำสั่งประธานาธิบดี บุคคลเหล่านี้ยังมีทั้งผู้นำด้านศาสนา,นักธุรกิจระดับบริหาร,นักวิชาการ,ผู้นำทางการเมืองและอื่นๆ
นิสริน โอเมอร์ นักศึกษาแสตนฟอร์ดผู้ถือใบเขียวและอยู่อย่างถูกต้องเปิดเผยว่าเธอถูกกักตัวที่สนามบิน Kennedy International Airport ในนิวยอร์กประมาณ 5 ชั่วโมงก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมา “บางรายยังถูกคุมตัว หลายคนฉันเห็นว่าถูกส่งกลับประเทศเดิมของตน”เธอกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าไม่ทราบว่าสนามบินทั่วประเทศสหรัฐมีผู้ถูกควบคุมตัวจำนวนเท่าใด เพราะแต่ละสนามบินก็ถือเป็นทางเข้าประเทศ (Gateway) อาทิเช่นสนามบินแอตแลนต้า,ฮิวสตัน,ดีทรอยส์,ชิคาโก้,แอล.เอ.,.ซานฟรานฯ,ซีแอตเติ้ลและวอชิงตันดีซี ฯลฯ เป็นต้น
ขณะที่ครอบครัวชาวคริสเตียน 6 คนเดินทางจากประเทศซีเรียมาถึง Philadelphia International Airport เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 มกราคมก็ถูกกักตัว จึงจัดการส่งอีเมลไปยังนายชาร์ลี เดนท์ ส.ส.เพนซิลเวเนีย พรรครีพับลิกันแจ้งให้ทราบว่าครอบครัวถูกกักตัวไว้ที่สนามบินแม้ว่าจะมีเอกสารถูกต้องรวมทั้งใบเขียว
ทั้งนี้คำสั่งฝ่ายบริหารไม่ได้มองว่าใครนับถือศาสนาใด แต่ถือว่าเมื่อมาจากซีเรียจะถูกห้ามเข้าตลอดไปตามคำสั่ง
กลุ่มประท้วงที่สนามบิน John F. Kennedy International ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2017 เป็นการประท้วงคำสั่งของฝ่ายบริหารที่ห้ามคน 7 ประเทศตลอดจนผู้ลี้ภัยอพยพเข้าประเทศ (AP Photo/Craig Ruttle)
คำสั่งของประธานาธิบดี-อำนาจฝ่ายบริหาร
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2017 ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมพ์ ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร ( Executive Order)เพื่อเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างอาทิเช่น สั่งยกเลิก “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค” (the Trans Pacific Partnership= TPP)โดยสหรัฐฯจะไม่เข้าร่วมด้วยกับเขตการค้าเสรีทางแปซิฟิกที่ปัจจุบันมีสมาชิก 12 ประเทศ ,การลงนามในคำสั่งระงับการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ระดับรัฐบาลกลาง (ยกเว้นทหารและกองกำลังรักษาความปลอดภัยอื่นๆ)และสั่งยกเลิกการให้เงินอุดหนุนต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งหรือที่รู้จักกันในนาม Mexico City policy
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2017 ก็ลงนามในคำสังเกี่ยวกับคนเข้าเมืองให้ระงับการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐของกลุ่มผู้ลี้ภัยอพยพทั้งหมด (all refugees) เป็นเวลา 120 วัน,ห้ามชาวซีเรียเดินทางเข้าสหรัฐไม่มีกำหนด,สั่งระงับการเข้าประเทศของพลเมือง 7 ประเทศประกอบด้วยอิหร่าน,อิรัก,ลีเบีย,โซมาเลีย,ซูดาน,ซีเรียและเยเมน
คำสั่งของฝ่ายบริหารนั้นกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐมาตรา 2 (Article II of the Constitution)ให้อำนาจประธานาธิบดีในการออกคำสั่งเสมือนเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางดำเนินการตามนโยบาย คำสั่งของฝ่ายบริหารเมื่อลงนามแล้วจะต้องมีหลายเลขกำกับและประกาศในรัฐกิจจานุเบกษา ( the Federal Register) คำสั่งของฝ่ายบริหารอาจกลายเป็นกฎหมายได้หากสภาคองเกรสให้การสนับสนุนผ่านออกมาเป็นกฎหมาย อาทิเช่นคำสั่งเกี่ยวกับภาวะฉุกเฉินที่จะเกิดภยันตรายต่อประเทศทั้งเรื่องภัยพิบัติ,การสาธารณสุข,การประกาศสงคราม เป็นต้น
แต่ในกรณีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญคำสั่งฝ่ายบริหารก็จะถูกยกเลิกได้ หลังจากส่งเรื่องให้ฝ่ายตุลาการพิจารณาชี้ขาด ถือเป็นการคานอำนาจของ 3 อำนาจในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งคำสั่งฝ่ายบริหารไม่อาจไปลบล้างกฎหมายที่ผ่านสภาคองเกรสไปเรียบร้อยแล้ว