ว่าด้วยเรื่องของ กฎมณเฑียรบาล
เผื่อจะได้ไม่เข้าใจกันผิดกรณีปลดรูปน่ะค่ะ
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 นั้นถูกบัญญัติขึ้นโดยพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ในปีพ.ศ. 2467 เพื่อเป็นเกณฑ์ในการใช้สำหรับการสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป
สาระสำคัญ
กฎมณเฑียรบาลฉบับนี้ระบุถึงผู้ที่มีสิทธิในพระราชบัลลังก์ โดยพระมหากษัตริย์นั้นมีสิทธิขาดในการเลือกองค์รัชทายาท หากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทไว้ ให้รัฐสภากราบทูลฯเชิญเจ้านายที่อยู่ในลำดับที่ 1 แห่งการสืบสันตติวงศ์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป (ยกเว้นผู้ที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 11)
นอกจากนี้ยังได้ระบุเกณฑ์สำหรับการจัดลำดับการสืบสันตติวงศ์ดังนี้
1) พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระอัครมเหสี (สมเด็จหน่อพุทธเจ้า)
2) หากสมเด็จหน่อพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของสมเด็จหน่อพุทธเจ้าและพระอัครชายาของสมเด็จหน่อพุทธเจ้านั้นขึ้นทรงราชย์ หรือถ้าพระราชโอรสพระองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระราชโอรสพระองค์รอง ถัดไปตามลำดับพระชนมายุ
3) หากสมเด็จหน่อพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว และไม่มีพระราชโอรส ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระอัครมเหสี
4) หากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ 2 สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ถ้ามีพระโอรสอยู่ ก็ให้อัญเชิญพระโอรสของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นโดยอนุโลมตามเกณฑ์ในข้อ 2 (เรียงตามลำดับอาวุโสของพระโอรส)
5) หากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ไปแล้ว และไร้พระราชโอรส ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์อื่นๆ ถัดไป ในสมเด็จพระอัครมเหสี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นๆ สลับกันไปตามลำดับอาวุโส โดยอนุโลมตามเกณฑ์ในข้อ 2, 3 และ 4
6) หากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์หมดแล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้นๆ ก็สิ้นพระชนม์ด้วยแล้ว ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระมเหสีรองถัดลงไปตามลำดับชั้นพระอิศริยยศแห่งพระมารดา หรือถ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอหาพระองค์ไม่แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ สลับกันตามลำดับ โดยอนุโลมตามเกณฑ์ในข้อ 2, 3 และ 4
7) หากสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในพระมเหสีรองสิ้นพระชนม์หมดแล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอนั้น ๆ ก็สิ้นพระชนม์หมดด้วยแล้ว ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุมากที่สุด หรือถ้าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ให้อัญเชิญพระโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น แต่ถ้าแม้ว่าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุมากที่สุดนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว และพระโอรสของท่านก็ทิวงคตแล้ว ก็ให้อัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมา หรือพระโอรสของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามเกณฑ์ในข้อ 2, 3 และ 4 แห่งมาตรานี้
8) หากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา ให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนีพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมาจากพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นทรงราชย์สืบสันตติวงศ์
9) หากสมเด็จพระอนุชาพระองค์ที่ควรได้ทรงเป็นทายาทนั้นสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ให้อัญเชิญพระโอรสของสมเด็จพระอนุชาพระองค์นั้นตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ 2 แห่งมาตรานี้
10) หากสมเด็จพระอนุชาพระองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์แล้ว และพระโอรสของท่านก็สิ้นพระชนม์อีกด้วย ให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระชนนีพระองค์ที่ถัดลงมาตามลำดับพระชนมายุ หรือพระโอรสของสมเด็จพระอนุชาพระองค์นั้น ๆ สลับกันไปตามลำดับ อนุโลมตามข้อความในข้อ 2, 3 และ 4 แห่งมาตรานี้
11) หากสมเด็จพระอนุชาร่วมพระชนนีสิ้นพระชนม์หมดแล้ว และพระโอรสของสมเด็จพระอนุชานั้น ๆ ก็สิ้นพระชนม์แล้ว ให้อัญเชิญสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชาต่างพระชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชานั้นๆ สลับกันไปตามลำดับ โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ 2, 3, 4 และ 6 แห่งมาตรานี้
12) หากสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชาต่างพระชนนีก็สิ้นพระชนม์แล้ว และโอรสของสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระอนุชานั้นสิ้นพระชนม์ด้วย ให้อัญเชิญพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธอหรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธอตามลำดับสลับกัน โดยอนุโลมตามข้อความในข้อ 7 แห่งมาตรานี้
13) ต่อเมื่อหมดพระเจ้าพี่ยาเธอและพระเจ้าน้องยาเธออีกทั้งหมดพระโอรสของท่านนั้นๆ แล้ว ให้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอและพระเจ้าบรมวงศ์เธอ หรือพระโอรสและเชื้อสายของท่านพระองค์นั้นตามลำดับแห่งความสนิทมากและน้อย โดยอนุโลมตามข้อความที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 12 แห่งมาตรานี้
ผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์
ความจากหมวดที่ 5 ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์ นั้นรวมถึง
ผู้ที่มิได้รับการยอมรับจากประชาชนและพระบรมวงศานุวงศ์
เจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่มีลักษณะต้องห้ามดังนี้ อนึ่ง เจ้านายพระองค์ไหนที่มีลักษณะต้องห้ามนี้ พระราชโอรสโดยตรงนั้น ก็ให้ถอดจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์ด้วยทั้งสิ้น
พระสัญญาวิปลาศ
ต้องราชทัณฑ์ในคดีมหันตโทษ
ไม่สามารถทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก
มีพระชายาเป็นชาวต่างประเทศ
เป็นผู้ที่ถูกถอนออกจากตำแหน่งรัชทายาท ไม่ว่าการถูกถอนนี้จะเป็นไปในรัชกาลใดๆ
เป็นผู้ที่ได้ถูกประกาศยกเว้นออกเสียจากลำดับสืบราชสันตติวงศ์
หมายเหตุ * ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 หมวด 2 มาตรา 23 "ในกรณีที่ราชบัลลังก์หาว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ กรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง" ซึ่งยังคงบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
การแก้กฎมณเฑียรบาล
ความจากหมวดที่ 7 ว่าด้วยการแก้กฎมณเฑียรบาลได้บัญญัติไว้ว่า
มาตรา 19 พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลนี้ไว้ให้เป็นราชนิติธรรมอันมั่นคง เพื่อดำรงพระบรมราชจักรีวงศ์ไว้ชั่วกาลนาน และได้ทรงใช้พระวิจารณญาณโดยสุขุม ประชุมทั้งโบราณราชประเพณีแห่งกรุงสยามตามที่ได้เคยมีปรากฏมาในโบราณราชประวัติทั้งประเพณีตามที่โลกนิยมในสมัยนี้เข้าไว้พร้อมแล้วฉะนั้นหากว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใดในอนาคตสมัยทรงพระราชดำริจะแก้ไขหรือเพิกถอนข้อหนึ่งข้อใดแห่งกฎมณเฑียรบาลนี้ก็ให้ทรงคำนึงถึงพระอุปการะคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ผู้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลนี้ขึ้นไว้แล้วและทรงปฏิบัติตามข้อความในมาตรา 20 แห่งกฎมณเฑียรบาลนี้เถิด
มาตรา 20 ถ้าแม้เมื่อใดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องแก้ไขหรือเพิกถอนข้อความใด ๆ แม้แต่ส่วนน้อยหนึ่งในกฎมณเฑียรบาลนี้ไซร้ท่านว่าให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนัดประชุมองคมนตรีสภา ให้มีองคมนตรีมาในที่ประชุมนั้นไม่น้อยกว่า 2 ส่วนใน 3 แห่งจำนวนองคมนตรีทั้งหมด แล้วและพระราชทานข้อความอันมีพระราชประสงค์จะให้แก้ไขหรือเพิกถอนนั้นให้สภาปรึกษากันและถวายความเห็นด้วยความจงรักภักดีซื่อสัตย์สุจริต ถ้าและองคมนตรีมีจำนวนถึง 2 ส่วนใน 3 แห่งผู้ที่มาประชุมนั้นลงความเห็นว่าควรแก้ไขหรือเพิกถอนตามพระราช ประสงค์ได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงค่อยมีพระบรมราชโองการให้แก้ไขหรือเพิกถอน แต่ถ้าแม้ว่าองคมนตรีที่มาประชุมนั้นมีผู้เห็นควรให้แก้ไขหรือเพิกถอนเป็นจำนวนไม่ถึง 2 ใน 3 แล้วไซร้ก็ขอให้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระขันติระงับพระราชดำริที่จะทรงแก้ไขหรือเพิกถอนนั้นไว้เถิด