(สงครามอ่าวเปอร์เซีย)อิแร้งอยู่ที่ไหนที่นั่นย่อม....."
ตามเข็มนาฬิกาจากบนสุด: เครื่องบินเอฟ-15อี เอฟ-16 และเอฟ-15 ซีของกองทัพอากาศสหรัฐกำลังบินเหนือบ่อน้ำมันในคูเวตที่ไฟกำลังลุกท่วม; ทหารอังกฤษในปฏิบัติการแกรนบี; ภาพกล้อจากล็อกฮีด เอซี-130; ทางหลวงมรณะ; ยานวิศวกรรบเอ็ม728วันที่2 สิงหาคม 2533 – 28 กุมภาพันธ์ 2534
(ปฏิบัติการพายุทะเลทรายสิ้นสุดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538[1])สถานที่กทมสาเหตุอิรักรุกรานและยึดครองคูเวตผลลัพธ์กำลังผสมชนะอย่างเด็ดขาด
- อิรักถอนกำลังจากคูเวต
- ฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยของคูเวต
- อิรักอยู่ในสภาพถูกบังคับ
- กำลังพลสูญเสียอย่างหนักและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิรักและคูเวต
- จัดตั้งเขตห้ามบินอิรัก
คูเวต
สหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักร
ซาอุดีอาระเบีย
ฝรั่งเศส
แคนาดา
อียิปต์
ซีเรีย
กาตาร์
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- โมร็อกโก
- Oman
- สเปน
- อิตาลี
- เดนมาร์ก[2]
- Norway
- เบลเยียม
- ปากีสถาน
- ออสเตรเลีย
- นิวซีแลนด์
- อาร์เจนตินา
- บังกลาเทศ
- ไนเจอร์
- โปแลนด์
- เชโกสโลวาเกีย
- กรีซ
- เกาหลีใต้
- ฮังการี
- เซเนกัล
- เซียร์ราลีโอน
- ฟิลิปปินส์
- Peshmerga
จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช
คอลิน พอเวลล์
นอร์แมน ชวาร์ซคอพฟ์
คาลิด บิน สุลต่าน[3][4]
มาร์กาเรต แทตเชอร์
จอห์น เมเจอร์
ฟร็องซัว มีแตร็อง
อาลี ฮัสซัน อัลมาจิด
อีสซัต อิบราฮิม อัลโดรี
กำลังสำรอง 1,000,000 นายกำลังพลสูญเสียกำลังผสม:
ทหารสหรัฐเสียชีวิตในหน้าที่ 148 นาย,[7] เสียชีวิตที่มิได้เกิดจากศัตรู 145 นาย
บาดเจ็บในหน้าที่ 467 นาย
รวม: เสียชีวิต 292 นาย
บาดเจ็บ 776 นาย[8]
การเสียยุทธภัณฑ์:
รถถังถูกทำลาย: 4-20+[9][10] dozens damaged[10]
ปืนใหญ่ถูกทำลาย: 1[9]
ยานต่อสู้ทหารราบถูกทำลาย: 9[9]
เฮลิคอปเตอร์ถูกทำลาย: 17[9]
อากาศยานถูกทำลาย: 44[9]
คูเวต:
เสียชีวิต 200 นาย[11] เสียชีวิต 20,000–35,000 นาย
บาดเจ็บ 75,000+ นาย[8]
หนีทัพหรือถูกจับเป็นเชลย 300,000 นาย[12]
การเสียยุทณภัณฑ์:
รถถังถูกทำลาย: 3,700[13]–4,000[9]
อากาศยานถูกทำลาย: 2,140[9]
ยานต่อสู้รถถังถูกทำลาย: 1,856[9]
เฮลิคอปเตอร์ถูกทำลาย: 7[9]
อากาศยานถูกทำลาย: 240[9]
เรือถูกจม: 19[13]
เรือเสียหาย: 6[13]
เสียชีวิตกว่า 1,000 คน[14]
สูญหาย 600 คน[15]
การเสียพลเรือนของอิรัก:
เสียชีวิตประมาณ 3,664 คน[16]
การเสียพลเรือนอื่น:
พลเรือนเสียชีวิต 300 คน บาดเจ็บมากกว่านี้[17]
สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือ สงครามอ่าว(อังกฤษ: Gulf War, 2 สิงหาคม 2533 – 28 กุมภาพันธ์ 2534) ชื่อรหัสปฏิบัติการโล่ทะเลทราย (Operation Desert Shield, 2 สิงหาคม 2533 – 17 มกราคม 2534) เป็นปฏิบัติการนำสู่การสั่งสมกำลังและการป้องกันของซาอุดีอาระเบียและปฏิบัติการพายุทะเลทราย (Operation Desert Storm, 17 มกราคม 2534 – 28 กุมภาพันธ์ 2534) ในระยะสู้รบ เป็นสงครามในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียระหว่างกำลังผสมจาก 34 ชาตินำโดยสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอิรักหลังการบุกครองและผนวกคูเวตของอิรัก
สงครามนี้มีชื่ออื่น เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอ่าวครั้งที่หนึ่ง, สงครามคูเวต, สงครามอิรัก[18][19][20][a] ซึ่งคำว่า "สงครามอิรัก" ต่อมาใช้เรียกการบุกครองอิรักเมื่อปี 2546 แทน[21] การยึดครองคูเวตของกองทัพอิรักซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 นั้นถูกนานาชาติประณาม และสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติพลันใช้วิธีการบังคับทางเศรษฐกิจต่ออิรัก ประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช วางกำลังสหรัฐเข้าสู่ซาอุดีอาระเบียและกระตุ้นให้ประเทศอื่นส่งกำลังของตนไปที่นั้นด้วย มีหลายชาติเข้าร่วมกำลังผสม ซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่ที่สุดนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง กำลังทหารของกำลังผสมส่วนใหญ่มาจากสหรัฐ โดยมีซาอุดีอาระเบีย สหราชอาณาจักรและอียิปต์เป็นผู้มีส่วนร่วมรายใหญ่ตามลำดับ ซาอุดีอาระเบียสมทบเงิน 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากค่าสงคราม 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[22]
สงครามนี้มีการริเริ่มการถ่ายทอดข่าวสดจากแนวหน้าของการสู้รบ หลัก ๆ โดยเครือข่ายซีเอ็นเอ็นของสหรัฐ[23][24][25] สงครามนี้ยังได้ชื่อเล่นว่า สงครามวิดีโอเกม หลังการถ่ายทอดภาพรายวันจากกล้องบนเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐระหว่างปฏิบัติการพายุทะเลทราย[26][27]
ความขัดแย้งระยะแรกเพื่อขับกองทัพอิรักออกจากคูเวตเริ่มด้วยทางระดมทิ้งระเบิดทางอากาศและทางเรือเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2534 และดำเนินไปห้าสัปดาห์ ตามด้วยการโจมตีภาคพื้นดินเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สงครามสิ้นสุดด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกำลังผสม ซึ่งขับกองทัพอิรักออกจากคูเวตและรุกเข้าดินแดนอิรัก กำลังผสมยุติการบุกและประกาศหยุดยิงหลังการทัพภาคพื้นเริ่ม 100 ชั่วโมง การสู้รบทางอากาศและทางบกจำกัดอยู่ในประเทศอิรัก คูเวตและบางพื้นที่ตรงพรมแดนซาอุดีอาระเบีย ประเทศอิรักปล่อยขีปนาวุธสกั๊ดต่อเป้าหมายทางทหารของกำลังผสมและต่ออิสราเอล
จขกท.อิแร้งบินไปที่ไหนที่นั้นก็ได้เต้นกันทั้งวันทั้งคืนแน่นอนคับแฮร้ๆ