นักวิจัยแนะชายไทยใจเย็นๆ หลังพบแห่กินหนอนไหมกระตุ้นเซ็กส์ ชี้ ยังอยู่ในขั้นหลอดทดลอง
หลังจากมีข่าวผลงานวิจัยเรื่อง ผลของสารสกัดจากดักแด้ไหมไทย ต่อการกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด เทียบเท่าไวอาก้า ซึ่งกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการวิจัยเบื้องต้น ศึกษาสารสำคัญในตัวดักแด้หนอนไหม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยง และ จากการวิเคราะห์พบว่า หนอนไหม
พันธุ์นางน้อยศรีษะเกษ 1 และ เหลืองสุรินทร์ มีสารชนิดเดียวกับสาร ซิลเดนาฟิล แบบเดียวกับไวอาก้า ที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ขณะที่นักวิจัยของภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ต่อยอดการศึกษา โดยการวิจัยหาสารที่มีอยู่ในตัวหนอนไหมทั้ง 2 สายพันธุ์
อย่างไรก็ตามพบว่า หลังมีข่าวงานวิจัยดังกล่าว เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ ส่งผลให้มีกระแสความนิยมการบริโภคหนอนไหมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่เชื่อว่า หากกินหนอนไหมจำนวน 25 ตัว จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ แก้ปัญหาเซ็กส์เสื่อม นอกจากนี้ ในสังคมยังมีความเชื่อผิด ๆ ว่า หากรับประทานหนอนไหมเข้าไปแล้ว จะช่วยปลุกเซ็กส์ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจที่คาดเคลื่อน
ล่าสุด รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลงานวิจัยเรื่องผลของสารสกัดจากดักแด้ไหมไทยต่อการกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือดเทียบเท่าไวอากร้า ยังไม่มีผลการสรุปออกมาชัดเจน ว่า หนอนไหมมีฤทธิ์สาร
เหมือนยาไวอากร้าจริงหรือไม่ เนื่องจากงานวิจัยยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาระดับทดลองเท่านั้น
แม้ผลการทดลองจะพบว่า หนอนไหมมีฤทธิ์ในการกระตุ้นให้เกิดไนตริกออกไซด์ได้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า ในตัวของหนอนไหม จะมีสารจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์คล้ายกับ ซิลเดนาฟิล ที่มีในไวอากร้า เพราะทีมวิจัยยังไม่ทราบว่า โครงสร้างของสารในตัวของหนอนไหมเป็นสารชนิดใด และ ยังไม่มีการทดลองในสัตว์ที่มีชีวิตแต่อย่างใด ซึ่งการวิจัย
เพื่อต่อยอดนำไปสู่การใช้ในเชิงพาณิชย์และพัฒนาออกมาเป็นตัวยาในอนาคต ต้องใช้เม็ดเงินค่อนข้างสูง จึงต้องเร่งหาทุนมาวิจัยเพิ่มเติม เพราะสิ่งที่ทีมวิจัยต้องการคือ สมุนไพร 100 เปอร์เซ็นต์ จากสารธรรมชาติในตัวหนอนไหม เพื่อปลอดภัยกับผู้รับประทานมากที่สุด
รศ.ดร.ปรัชญา ระบุว่า สามารถหาหนอนไหมมารับประทานเป็นอาหารได้ เพราะหนอนไหมมีโปรตีน แต่หากรับประทานเพราะหวังผลว่าจะออกฤทธิเหมือนไวอาก้า และต้องกินจำนวน 25 ตัว ตามปริมาณที่นักวิจัยใช้ในการสกัดหาสาร ก็อาจไม่ได้ผลอย่างที่คาดคิด เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของหลอดทดลอง จึงอยากให้ผู้ชายไทยใจเย็นๆ และควรรอให้กระบวนการวิจัยครั้งนี้เสร็จสิ้น ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง
ที่มา: http://www.newsconnect.co.th/newsdetail.php?typenews=4&idnews=8748