ปัดกวาดบ้านตัวเอง!
เห็นระดับบิ๊กๆ ในรัฐบาล คสช.และกองทัพตบเท้าออกมาตอบโต้กระแสถล่มกรณีปลัดกระทรวงกลาโหมลงนามบรรจุบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่มีศักดิ์เป็นหลานนายกฯเข้ารับราชการทหารโดยวิธีพิเศษ ด้วยข้ออ้างเป็นอำนาจที่กระทำได้ และ “ใครๆเขาก็ทำกัน” แล้ว
ก็ให้นึกย้อนไปถึงถ้อยแถลงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กล่าวไว้ในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้ตอกย้ำนโยบายต่อต้านการทุจริตที่ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่รัฐบาลนี้และ คสช.ให้ความสำคัญ
เนื่องจากเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศที่สะท้อนวิกฤตการณ์ด้านคุณธรรม จริยธรรมของผู้คนในสังคม ส่งผลกระทบในทางลบต่อทุกแวดวงทั้งราชการและเอกชน ซึ่งหนทางที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยการปลูกฝังจิตสำนึกค่านิยมให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนได้ตระหนักโดยชี้ให้เห็นว่า การโกงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ “คนโกงต้องไม่มีที่ยืนในสังคม”
ก็ไม่รู้ว่านายกฯและหัวหน้า คสช.จะยังจดจำถ้อยแถลงของตนเองข้างต้นได้หรือไม่ หรือจะยัง “ดั้นเมฆ” ยืนยันนั่งยันว่าการขนเอาลูก-เมียเข้ามา “เสวยสุข” จะในสภานิติบัญญัติ สนช.-สปช.หรือในแวดวงราชการเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกันอยู่ต่อไป
เช่นเดียวกับเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นสุดฮอตเป็น Talk of the Town ในโลกโซเชียลขณะนี้ ที่นัยว่าระดับรองนายกฯในรัฐบาลที่ได้ชื่อว่าเป็น“เนติบริกร” ที่ใครต่อใครพากันสัพยอกว่า น่าจะเปลี่ยนนามสกุลไปเป็น “เครือซี.พี.” เสียให้รู้แล้วรู้แร่ด เพราะวันๆ เอาแต่ตั้งแท่นหาช่อง “อุ้มบุญ” ธุรกิจสื่อสารในเครือเจ้าสัวรายนี้ ถึงขนาดยอมเปิดหน้าโจนลงมาโม่แป้งให้เอง หลายครั้งหลายหน
อย่างที่ชงเรื่องให้นายกฯใช้อำนาจตาม ม.44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2559 ส่งให้ กสทช.จัดประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกกะเฮิร์ตซ์ (MHz) ใหม่ โดยเปิดกว้างให้ผู้เข้าประมูลทุกรายมีสิทธิ์เข้าร่วมประมูลทั้งที่ก่อนหน้า กสทช.มีมติให้ตัดสิทธิ์บริษัททรูที่ได้ใบอนุญาตไปแล้ว ด้วยเกรงว่าหากให้ทรูเข้าประมูลอีกอาจก่อให้เกิดการผูกขาดคลื่นความถี่ที่ขัดประกาศ กสทช.ว่าด้วยการประมูล 4 จี รวมทั้งขัดกฎหมายอื่นๆ ตามมาอีกเป็นพรวน!
แม้จะอ้างว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แต่ก็ยากจะอรรถาธิบายสังคมว่า เหตุใดรัฐจึงให้ความเป็นธรรมแต่เฉพาะเอกชนรายนี้ ขณะที่ดีแทคซึ่งก็ร้องแรกแหกกระเชอขอความเป็นธรรมจากรัฐทั้งกรณีการขอใช้คลื่น 1800 MHz ที่ตนเองได้สัมปทานจากรัฐแต่ยังไม่ได้นำมาใช้ เพื่อให้บริการ 4จี หรือกรณีประมูลคลื่นความถี่ 900 ครั้งนี้ก็กลับไม่เคยได้รับความเอื้ออาทรใดๆ จากรัฐ โดยเฉพาะจาก กสทช.เอง
ล่าสุดยังรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพเจรจาจัดทำข้อตกลง MOU ระหว่างบริษัทเอไอเอสกับบริษัททรูเพื่อแก้ไขปัญหาซิมดับ และยุติสงครามช่วงชิงลูกค้าผู้ใช้บริการ 2 จีเดิม ในช่วงขยายมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเดิมตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับนี้ โดยภายใต้ข้อตกลง MOU นี้ได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช.เข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบการดำเนินการโอนย้ายเลขหมายจากเอไอเอสไปยังทรู และยังให้เอไอเอสใช้บริการข้ามโครงข่ายหรือบริการ “โรมมิ่ง” ลูกค้าที่ยังคงใช้บริการ 2 จีมาใช้คลื่นความถี่ 905-915 และ 950-960 ของทรูมูฟที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่จาก กสทช. ไปก่อนหน้า (แทนการโรมมิ่งกับดีแทค) ด้วย
ก็ให้น่าแปลกที่เหตุใดรองนายกฯถึงกับต้องออกหน้าลงมาโม่แป้งเรื่องนี้ด้วยตนเอง ทั้งที่การที่ใช้บริการโรมมิ่งกับเครือข่ายใดนั้นมันเป็นเรื่องที่บริษัทเอกชนที่ต้องเจรจาบนพื้นฐานด้านธุรกิจ หาใช่เรื่องที่รัฐจะสอดมือเข้ามาข้องเกี่ยว และตามกฎหมายน่าจะเป็นเรื่องที่ กสทช.มีอำนาจดำเนินการได้เองอยู่แล้ว หรือแค่มอบหมายให้กระทรวงไอซีทีหรือ กสทช.ดำเนินการก็น่าจะเพียงพออยู่แล้ว
แม้หลายฝ่ายจะเชื่อว่า เบื้องหลังอภิมหา "บิ๊กดีล" ในครั้งนี้น่ามาจากบิ๊ก กสทช.นั่นแหละคือคนชงที่แท้จริง เพราะข้อเสนอที่หวังจะให้มีการผ่องถ่ายลูกค้าผู้ใช้บริการ 2 จี 900 เดิมไปซบอกบริษัททรูนั้นมันก็ถอดรูปมาจากมติบอร์ด กทค.และ กสทช.เดิมที่เคยนำเสนอให้เอไอเอสไปใช้คลื่นความถี่ 900 ในส่วนที่ทรูได้รับมอบใบอนุญาตให้ใช้คลื่นจาก กสทช.เดิม
แต่เมื่อมาประจวบเหมาะเอากับเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูก่อนหน้าว่า เป็นเพราะบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ “ท่านเนติบริกร” ที่ชื่อ “ดร.โอม” นั่งแป้นเป็นผู้บริหารระดับผู้เชี่ยวชาญอยู่ในกลุ่มธุรกิจนี้ด้วยแล้ว มันจึงยากที่จะปฏิเสธเรื่องของ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่เป็น Conflict of Interest ไปได้
ก็คงต้องเตือนสติไปยังฯพณฯท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยความเคารพ!ก่อนจะไปเพรียกหาความร่วมมือจากประชาชนในทุกภาคส่วนให้ช่วยเป็นหูเป็นตาร่วมขจัดรากเหง้าปัญหาคอร์รัปชั่นให้หมดไปอะไรนั้น ช่วยลงมาสำรวจและปัดกวาดบ้านตัวเองก่อนจะดีไหมก่อนจะถูกใครต่อใครเขาสัพยอกเอาได้ว่า ปล่อยให้มี "กระสือบังใบ" แฝงหาผลประโยชน์ใต้ชายคาเอา!!!