คนเราสติปัญญาเท่ากันหมด แต่ต่างกันที่ "โอกาส" เท่านั้น คือมีโอกาสรู้หรือไม่มีโอกาสรู้
หลายคนชื่นชอบถ้อยคำอันนี้กันมากก็คงเป็นเพราะว่ามีลักษณะที่ไม่ดูถูกระดับสติปัญญาของคนอื่นท่านผู้พูดเน้นตรงที่ว่าคนเราสติปัญญาเท่ากันหมด แต่ต่างกันที่ "โอกาส" เท่านั้น คือมีโอกาสรู้หรือไม่มีโอกาสรู้
ขอสะท้อนความเห็นต่างสักหน่อย
ประเด็นก็คือ เป็นความจริงที่คนเราโอกาสรู้สิ่งต่างๆไม่เท่ากัน ซึ่งก็มาจากเหตุหลายอย่าง โอกาสในชีวิตด้วย หรือมีโอกาสแต่ไม่คว้าโอกาสด้วย
แต่ถึงกระนั้นเรื่องความแตกต่างของระดับสติปัญญาคนเราก็มีจริงครับ (อย่าใช้คำว่าฉลาด-โง่เลย มันเป็นเรื่องอัตวิสัยมากกว่าภววิสัย)
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้านสมองและด้านจิตวิทยาจึงมีการวัดระดับสติปัญญา หรือที่เรียกกันว่า ไอคิว (IQ) ได้ มีคนที่สติปัญญาสูงจนเป็นระดับอัจฉริยะ และลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ จนต่ำมากที่เรียกว่าเป็นภาวะ "บกพร่องทางสติปัญญา"
ไม่กี่ปีก่อนก็เคยมีการวัดระดับสติปัญญาของเด็กไทยด้วยนะครับ แล้วผลพบว่า กำลังอยู่ในสภาพที่ "ระดับสติปัญญาต่ำลงเรื่อยๆ" โดยรวม
ความฉลาดกับความโง่ ยังเป็นเรื่องที่ไม่ใช่แค่มีโอกาสรู้หรือไม่ เห็นได้จากการที่ คนสองคนที่ "มีโอกาสรู้" เรื่องเดียวกันอย่างเท่าเทียมกัน แต่กลับสามารถ "คิด" เพื่อนำความรู้นั้นไปใช้ได้ไม่เท่ากัน คนเรียนหนังสือเท่ากันยังเก่งไม่เท่ากันเลยครับ และความสามารถในการเอาความรู้ไปใช้ได้ก็ไม่เท่ากัน
สองคนเพื่อนกัน เริ่มเรียนคอมพิวเตอร์พร้อมกัน เรียนไปได้ปีเดียว ไอ้คนหนึ่งเรียนเก่งกว่าอีกคนมาก แต่อ้ายคนเรียนอ่อนกว่าเกิดไอเดียบรรเจิดแล้วก็ลาออกมาสร้างประดิษฐกรรมจนร่ำรวย แล้วอ้ายเพื่อนคนที่เรียนเก่งกว่าก็รอเรียนจบปริญญาเอกแล้วมาขอสมัครทำงานด้วย
อยากบอกว่า ความฉลาดเป็นเรื่องความสามารถในการ "คิด" ครับ ไม่ใช่เพียงแค่รู้หรือไม่รู้ มันคนละเรื่องกัน
การที่พูดว่า "คนเราเท่ากัน" นั้น เป็นการถ้อยคำในเชิงความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นทาง "ศาสนา" หรือจะ "ปรัชญา" ก็ตาม (โดยเฉพาะในเชิงจริยศาสตร์และรัฐศาสตร์) แต่ไม่ได้เป็นถ้อยคำในเชิงวิทยาศาสตร์
ที่จริงแล้วทั้งในทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์พูดไม่ได้(ง่ายๆ)นะว่าคนเราเท่ากัน
เพราะต้องมากำหนดก่อนว่า ที่ว่าคนเราเท่ากันนั้น จะวัดกันตรงไหน และจะวัดได้อย่างไร
สุดท้ายก็ต้องไปลงตรงที่ว่า เท่ากันตรง "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
แต่เราก็ตองยอมรับว่าเรื่องศักดิ์ศรีที่ว่านี้มันเป็นเรื่องความเชื่อครับไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันไม่ใช่ยีนส์หรืออะไรที่ชี้วัดได้ในทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์กลับพบเรื่องยีนส์ด้อย ยีนส์เด่น ซึ่งสะท้อนความไม่เท่ากันของสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ
และถ้าให้ถ้อยคำเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ ก็จะต้องหาข้อเท็จจริงออกมาโดยต้องไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดตามมามาคิดรวมด้วยนะครับ ต้องหาความรู้ที่เป็นความจริง (fact) มาก่อนและความจริงเท่านั้น แล้วผลแห่งความจริงออกมาเป็นอย่างไรก็ค่อยเอามาคิดเชิงปรัชญาจริยศาสตร์และรัฐศาสตร์อีกที ว่าเจ้าความจริงอันนี้ควรถูกนำมาใช้อย่างไร
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างนะครับว่า สมมติว่า คนเรามีระดับสติปัญญา (IQ) ไม่เท่ากัน (ฉลาดโง่ไม่เท่ากัน) ระดับความสามารถหรือความเป็นผู้นำ (LQ)ไม่เท่ากัน และระดับคุณธรรม (MQ) ไม่เท่ากัน (ดีชั่วไม่เท่ากัน) และเจ้าสิ่งที่ไม่เท่ากันเหล่านี้มันสามารถวัดได้อย่างชัดเจนด้วยการทดสอบต่างๆ
ถ้าเป็นเช่นนี้ ควรไหมว่าในการที่จะตั้งใครเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูง จะต้องให้ผ่านการทดสอบวัดสิ่งเหล่านี้และได้ผลน่าพอใจเสียก่อน ไม่ใช่เพียงใช้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือใช้ระบบ "คนของใคร" หรือ "พวกมากลากไปเส้นใหญ่ในระบบอุปถัมป์" หรือ "เงินซื้อได้ทุกอย่าง" แบบที่เราคุ้นกัน
หรือถ้าในวงการศาสนาต่างๆ ก็เอางี้ไหม จะเป็นใหญ่ได้ ต้องผ่านการทดสอบทางความรู้ความสามารถและทางจิตก่อนว่าผ่าน จึงจะให้รับตำแหน่งได้
เรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ มีทำกันแล้วในหลายประเทศ (ใกล้บ้านเรานี่แหละ)
เราต้องระวังถ้อยคำที่สวยหรูฟังดูน่าประทับใจ แต่มันเป็นเพียงความเชื่อหรือความรู้สึกซึ่งไม่เคยได้พิสูจน์จนเป็นข้อเท็จจริง ต้องระวังให้ดี มันชักนำให้เข้าใจผิด (mislead) หรือเกิดความประทับใจผิดๆง่าย
มีตัวอย่างถ้อยคำแบบนี้เยอะ เช่น
คนเราไม่มีโง่ไม่มีฉลาดหรอก อยู่ที่รู้หรือไม่รู้เท่านั้น ....จริงหรือ?
คนเราไม่มีดีไม่มีชั่วหรอก มีแต่จริงหรือไม่จริงเท่านั้น....จริงหรือ?
คนเราถ้าเป็นคนดี อยู่ในระบบไหนๆ ก็ยังคงจะเป็นคนดี...จริงหรือ?
ศาสนาทำให้คนเป็นคนดีกว่าคนไม่มีศาสนา...จริงหรือ?
(กลับกัน) คนไม่มีศาสนาจะเป็นคนดีกว่าคนมีศาสนา...จริงหรือ?