5 คำพ่อสอนให้รวย
วันพ่อแบบนี้ ไม่มีอะไรดีเท่ารับคำอวยพรจากพ่อ ส่วนใครที่อาจจะไม่ได้เจอคุณพ่อ “กูจะรวย” ก็ขอเป็นตัวแทนอวยพรให้แล้วกัน และเพื่อเข้ากับเนื้อหาเกี่ยวกับการเงิน ความร่ำรวย “กูจะรวย” ก็ขอมอบคำพ่อสอนที่จะทำให้คุณได้คิดและนำไปปรับใช้ในชีวิต ส่งผลให้ร่ำให้รวย มีเงินทองมากมาย สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้จริงในชาตินี้
5 คำพ่อสอนให้รวย ช่วยให้ชีวิตดี
- 1.
“ลูกรู้มั้ย… คนส่วนใหญ่อยากรวยกันทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาคือ มีเพียงไม่กี่คนที่กล้ายอมแลกบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความร่ำรวยจริงๆ”
- ไปถามใครบ้างไม่อยากรวย แต่พอถามต่อไป คุณทำอะไรให้ตัวเองรวยได้จริงบ้างรึยัง คำตอบคือยังเลย คนจะรวยมันไม่ใช่ง่าย เขาต้องยินยอมทำสิ่งต่างๆสารพัด คุณยอมเหนื่อยสายตัวแทบขาดมั้ย คุณยอมเครียดจนหัวแทบจะระเบิดมั้ย คุณยอมเสี่ยงจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นมั้ย คุณยอมเปลี่ยนทำเรื่องยากที่ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ว่าจะสำเร็จได้จริงๆมั้ย ถ้าอยากมีรูปร่างดีเหมือนนักกีฬา ออกไปวิ่ง เข้าฟิตเนส ควบคุมอาหาร ทำได้มั้ยหล่ะ นี่คือราคาที่ต้องจ่าย ก็เช่นกัน ถ้าคุณไม่ยอมทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมเพื่อแลกมาซึ่งความรวยแล้วละก็ หยุดบ่นว่าทำไมชีวิตนี้(แม่ง)ไม่รวยสักที ก็คุณไม่ยอมทำอะไรสักอย่างสักทีงั้นเล่า คนส่วนใหญ่อยากรวย แต่พวกเขาไม่ยอมจ่ายให้กับราคาของความรวย
ถ้าอยากมีรูปร่างดีเหมือนนักกีฬา ออกไปวิ่ง เข้าฟิตเนส ควบคุมอาหาร ทำได้มั้ยหล่ะ นี่คือราคาที่ต้องจ่าย
- 2.
“ลูกรู้มั้ย… ทุกอย่างมีราคาของมัน คนส่วนใหญ่เต็มใจจ่ายให้กับราคาของความมั่นคง และราคาของความมั่นคงก็คืออิสระเสรี มากกว่าที่จะยอมจ่ายให้กับความรวย”
- ปากก็บอกว่าอยากรวยเหลือเกิน แต่ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา เรากลับเดินออกไปจ่ายราคาให้กับความมั่นคงทุกวันๆ นั่นก็คือการออกไปทำงานเดิมๆซ้ำๆวนลูบ แล้วก็บอกว่าอยากรวย ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ คนคนนึงอาจบอกว่าชีวิตมีความมั่นคงเพราะมีงานการทำ แต่ก็นั่นแค่ภายนอก แต่สิ่งที่อยู่ภายในคืออีกเรื่อง จิตใจเขาอาจเบื่อหน่าย ทนทุกข์ทรมาน และไม่มีความสุขเลยสักวัน พวกเขาอยากก้าวหน้า แต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวขาดความมั่นคง ซึ่งเป็นความมั่นคงที่ไม่มีอยู่จริงซะด้วยสิ ทุกคนต่างมีอุปสรรคทางจิตใจ เพราะเรามีความเห็นไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ต่างกัน ความเชื่อต่างกัน ผลลัพธ์ของชีวิตจึงต่างกัน ราคาที่เรายอมจ่ายเพื่อความร่ำรวย ให้ได้มาซึ่งอิสระเสรีก็ต่างกัน และคำตอบของคนส่วนใหญ่คือ ยังคงยินยอมจ่ายความอิสระเสรีของชีวิต เพื่อแลกกับความ(รู้สึกว่า)มั่นคง(ที่ไม่มีอยู่จริง)
ทุกคนต่างมีอุปสรรคทางจิตใจ เพราะเรามีความเห็นไม่เหมือนกัน ประสบการณ์ต่างกัน ความเชื่อต่างกัน ผลลัพธ์ของชีวิตจึงต่างกัน
- 3.
“ลูกรู้มั้ย… ความแตกต่างของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับคนทั่วๆไปคือ พวกเขาสามารถทนกับคำพูดคนอื่นได้มากกว่า”
- ในโลกนี้จะมีคนอยู่ 3 กลุ่ม คือ 1)กลุ่มคนที่ชอบเรา 2)กลุ่มคนที่เฉยๆกับเรา และ 3)กลุ่มคนที่ไม่ชอบเรา สิ่งที่เราควรทำคือให้ความสนใจกลุ่มแรกและทำให้กลุ่มที่ 2 สนใจเราก็แค่นั่นเอง สิ่งที่แย่ไปกว่าการถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ การที่ไม่มีใครพูดถึงเราเลยสักคน นั่นแสดงว่าคุณไม่มีตัวตนในสายตาเขา คนร่ำรวยไม่กลัวคำพูดของคนอื่น ผู้นำต้องไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาว่าร้ายจากผู้อื่น และมุ่งทำฝันตนเองให้เป็นจริง ในขณะที่คนทั่วไปกลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเองมากเกินไป กลัวคนอื่นนินทา กลัวคนอื่นคิดว่าไม่ดี กลัวคนอื่นอิจฉา กลัวสังคมจะไม่ยอมรับ กลัวความแตกต่าง ซึ่งคนร่ำรวยจะบอกว่า ความคิดคนอื่นเราห้ามไม่ได้ ทำไมไม่สนใจความคิดตัวเองแทนหล่ะ และถ้ามีใครพูดถึงเรา ก็คิดซะว่า อย่างน้อยตัวเราก็ช่วยให้พวกเขามีเรื่องคุยแก้เบื่อก็แค่นั้น แต่อย่าเอาคนพวกนั้นมาฉุดรั้งให้เราไม่รวย
สิ่งที่แย่ไปกว่าการถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ การที่ไม่มีใครพูดถึงเราเลยสักคน
- 4.
“ลูกรู้มั้ย… ผลการเรียนที่ดีไม่ได้มีส่วนอะไรกับการประสบความสำเร็จในชีวิตมากนักหรอก”
- ในชีวิตจริง เราไม่มีทางรู้ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ในชีวิตจริงเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด มีเรื่องที่ต้องใช้การคาดเดามากมาย มากกว่าเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร แต่ชีวิตเรากว่า 20 ปี กลับถูกหล่อหลอมให้โตมาด้วยวิธีคิดแบบ “จงหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด” เราถูกโรงเรียนพร่ำสอนให้หาคำตอบเดียวเท่านั้นมาตลอด ซึ่งผิด นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเด็กหลังห้อง เด็กกิจกรรมจึงมักกลายเป็นคนร่ำรวย ก็เพราะพวกเขาโตมากับการเรียนรู้ว่า ถ้าเจอเรื่องแบบนี้จะหาทางออกได้อย่างไรบ้าง ซึ่งอาจไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว และเขาพร้อมจะปรับเปลี่ยนคำตอบให้เป็นไปตามสถานการณ์เสมอ คนส่วนใหญ่เป็นคนจน หรือมีชีวิตที่น่าอึดอัดใจ ไร้อิสระเสรี หรือเป็นผู้แพ้ ก็เพราะพวกเขาใช้ชีวิตโดยไม่อาจยอมรับได้กับความผิดพลาด เช่นพวกเด็กเรียนเก่งมากๆเมื่อเจอปัญหาชีวิตที่ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่มีเพียงคำตอบเดียว พวกเขาจึงรับความกดดันไม่ไหว ฆ่าตัวตายไปน่าจะง่ายกว่า พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะตอบผิดเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว แต่คนร่ำรวยพวกเขาพร้อมจะทำผิดพลาด พร้อมจะล้มเหลว พร้อมจะพ่ายแพ้ และพวกเขาพร้อมเริ่มต้นใหม่ จนกว่าจะพบความสำเร็จเสมอ
ชีวิตเรากว่า 20 ปี กลับถูกหล่อหลอมให้โตมาด้วยวิธีคิดแบบ “จงหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด” เราถูกโรงเรียนพร่ำสอนให้หาคำตอบเดียวเท่านั้นมาตลอด ซึ่งผิด
- 5.
“ลูกรู้มั้ย… คนรวยเป็นคนที่มีหนี้สินเยอะกว่าคนจนมากมาย แต่พวกเขามีแต่หนี้สินที่ดีเท่านั้น”
- อย่าไปกลัวการเป็นหนี้ ไม่มีใครร่ำรวยได้โดยมาจากการใช้เงินที่ตัวเองหามาทั้งหมดหรอกนะ แต่ที่ควรต้องกลัวให้มากคือ การมีหนี้นั้น ต้องมีเฉพาะหนี้ที่ดีเท่านั้น แต่คนจน คนส่วนใหญ่ล้วนมีแต่หนี้เลวทั้งสิ้น หนี้สินที่ดีคือ หนี้ที่มีคนอื่นมาจ่ายชดใช้หนี้แทนเรา แต่หนี้เลวคือ หนี้ที่เราต้องควักเงินจ่ายจากการทำงานด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเราเอง คนจนจึงกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ ที่ทำงานหาเงินมาจ่ายให้ใครสักคนที่เป็นคนส่วนน้อยได้กลายเป็นเศรษฐีนั่นไงหล่ะ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราสร้างหอพัก เราออกเงินบางส่วน ไปขอกู้เงินธนาคารมาอีกส่วน เอามาสร้างอาคารหอพักแบ่งห้องปล่อยเช่า เงินที่ต้องจ่ายค่างวดคืนธนาคาร เจ้าของหอพักไม่ได้เอาเงินตัวเองออกเลยสักบาทเดียว แต่เก็บเงินจากค่าเช่าห้องแต่ละห้องรวมกันเอาไปจ่าย นอกจากมีเงินไปจ่ายคืนธนาคารแล้ว ยังเหลือกำไรให้ตัวเองอีก และเมื่อจ่ายเงินกู้ธนาคารหมด อาคารหอพักก็ตกเป็นของเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ส่วนผู้เช่าที่เป็นคนจ่ายเงินให้เรา กลับเดินออกไปตัวเปล่า และนี่คือวิธีที่คนร่ำรวย ได้สินทรัพย์มาฟรีๆด้วยเงินจากคนส่วนใหญ่นั่นเอง
การมีหนี้นั้น ต้องมีเฉพาะหนี้ที่ดีเท่านั้น แต่คนจน คนส่วนใหญ่ล้วนมีแต่หนี้เลวทั้งสิ้น
และถ้าลูกยังไม่จุใจ พ่อแนะนำให้ตามไปอ่าน “7 สิ่งที่คนรวยเขาทำกัน” อ่านแล้วจำ นำไปใช้ รวยได้ในชาตินี้จริงๆ